สาวไปเดินห้าง โดนลากเข้าบูธสกินแคร์ กลับมาบ้านนั่งร้องไห้เสียไปเกือบครึ่งแสน ก่อนสรุปดราม่า แนะวิธีเอาเงินคืน
ที่เว็บไซต์ Pantip.com ผู้ใช้ชื่อว่า สมาชิกหมายเลข 3976758 ได้ตั้งกระทู้ชื่อว่า “อุทาหรณ์เดินห้างเสียเงินเกือบครึ่งแสน…บูธสกินแคร์” โดยเป็นการแชร์เรื่องราวหลังจากเธอได้ไปเดินที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในย่านพระราม 3 ซึ่งในตอนแรกเธอแค่ต้องการไปซื้อไอศกรีม
แต่ตอนที่เดินห้างก็มีคนมาชวนให้ทดลองผลิตภัณฑ์สครับผิว ซึ่งเธอก็ไม่ติดอะไร แม้ผลิตภัณฑ์สครับผิวจะอยู่ในราคาที่สูงแต่ก็จ่ายไหว เธอจึงจ่ายเงินในราคา 2,280 บาท สักพักทางพนักงานก็แจ้งว่าจะสปาหน้าให้ฟรี เธอได้ปฏิเสธไปครั้งแรก แต่เขาก็บอกว่าใช้เวลาไม่นาน อยากให้ลอง ไม่เคยมีใครได้ เธอจึงตอบตกลง
แล้วพนักงานก็พาไปคอกเล็ก ๆ ที่เป็นผนังปิดกั้น ด้านซ้ายเป็นพนักงานเซลส์ ด้านหน้าเป็นหัวหน้านั่งตรงปลายเท้า ระหว่างที่สปาหน้าก็มีการให้ความรู้ บอกสรรพคุณต่าง ๆ ของสินค้า และมีการบอกโปรโมชั่นสินค้า
โดยโปรโมชั่นแรกคือ จะเสนอลดราคาสินค้าให้ 50 เปอร์เซ็นต์ ของสินค้าราคาเต็มกว่า 39,990 บาท และโปรโมชั่นที่ 2 คือ ทางร้านเอาสกินแคร์มาวาง 5 ชิ้น แต่ละชิ้นมีระบุราคาไว้ชัด บางชิ้นราคาสูงถึง 5,900 บาท ทางร้านบอกว่า หากยอมจ่ายสินค้าชิ้นแรกในราคาเต็ม 39,990 บาท จะได้สินค้า 5 ชิ้นฟรีทันที
เธอได้ปฏิเสธและบอกว่า สินค้านั้นเราคาสูงเกินไป ตนไม่เคยจ่ายให้กับการบำรุงหน้ามากขนาดนี้ แต่ทางร้านก็บอกว่า สินค้าทั้งหมดราคาเกือบแสนบาท จ่ายเงินแค่ 39,990 บาท ถือว่าคุ้มมาก จากนั้นทางร้านก็เอาคิวอาร์โค้ดมาให้สแกนจ่าย และยุว่าซื้อของ 5 ชิ้นอย่างไรก็คุ้ม
ตอนนั้นเธอกำลังสปาหน้า และหน้ายังไม่ได้ล้าง จึงออกมาจากร้านไม่ได้ เมื่อทนแรงกดดันไม่ไหว เธอจึงยอมจ่ายไป และทางนั้นก็แถมสินค้าให้เธอเป็นสครับผิวที่จ่ายไปครั้งแรก เท่ากับว่าเธอจ่ายเงินเพิ่ม 37,710 บาท เมื่อออกมาได้แล้ว เธอก็ไม่ได้ไปไหน ถือสินค้ามูลค่ากว่า 39,990 บาท นั่งมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน แล้วมานั่งร้องไห้ว่าทำอะไรลงไป ทำไมใจไม่แข็ง ทำไมไม่ปฏิเสธ
ซึ่งเมื่อมาเทียบกับสกินแคร์เคาน์เตอร์แบรนด์หลายเจ้าชื่อดัง ราคาก็ไม่สูงขนาดนี้ และยิ่งคิดได้ก็ยิ่งเวทนากับความสะเพร่าของตัวเอง เงินเก็บ 4 เดือนหายไปกับตา เธอคงเกลียดการขายแบบนี้ไปอีกนาน และฝากไว้เป็นอุทาหรณ์ให้ทุกคนด้วย
ทั้งนี้ เจ้าของกระทู้ ยอมรับว่าเป็นคนปฏิเสธคนไม่เก่ง และจะกลัวเวลาคนมาตื้อมักทำตัวไม่ถูก ทำให้ขาดสติในการฏิเสธ
หลังจากเรื่องราวของเธอถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย บอกว่า กลยุทธ์การขายแบบนี้ จะเน้นจิตวิทยาและมีการข่มขู่ จึงไม่แปลกใจที่ใคร ๆ จะตกเป็นเหยื่อ แม้ว่าลูกค้าจะปฏิเสธไปแล้วและปฏิเสธไปหลายครั้ง แต่พนักงานจะถูกเทรนว่าให้พูดตามสเต็ป และมีวิธีการรับมือกับการถูกปฏิเสธจากลูกค้าเแบบเป็นชั้น ๆ ว่าต้องทำอย่างไร จนสุดท้าย คนที่ถูกลากเข้าบูธก็ต้องยอมเสียเงิน
ขณะที่บางคนก็แนะนำวิธีการเลี่ยงเวลาเจอบูธเหล่านี้ตามห้าง คือ
1. เดินเลี่ยงไปทางอื่น หรือถ้าต้องเดินผ่านให้แกล้งทำเป็นคุยโทรศัพท์
2. ถ้าเจอดัก จะทาครีม ให้รับเทสเตอร์ แจกคูปองอะไร ให้บอกคำเดียวเลยว่าไม่เอาไม่รับ และอย่าลังเล ไม่ต้องมองหน้าหรือมีบทสนทนา ให้เดินหนีโดยไว สับขาได้ก็ผ่านไปเลย
3. ถ้าหลงเข้าไปและโดนหว่านล้อมให้ซื้อ ให้บอกว่าไม่มีบัตรเครดิต ตกงาน เป็นหนี้ พูดไปชัด ๆ เลยว่าไม่มีเงินจะกินข้าวแล้ว
พร้อมให้กำลังใจเจ้าของกระทู้ว่า เรื่องแบบนี้คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจ แต่บางทีมันก็เป็นเรื่องที่อธิบายยากเหมือนกันว่าทำไมถึงยอม และคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นบทเรียนที่ใหญ่มาก หากเดินห้างแล้วเจออะไรแบบนี้ ให้คิดว่าเราเป็นลูกค้ามาเดินห้าง ไม่มีภาระผูกพันกับบูธขายสินค้าหรือคลินิก ต่อให้เราลองแล้วไม่ซื้อ ก็ไม่ใช่ความผิดของเรา ไม่มีใครทำอะไรเราได้ แต่ถ้าเขามาบังคับ ข่มขู่ ทำให้ไม่สบายใจ เราต่างหากที่สามารถร้องเรียนกับทางห้างได้
ล่าสุด เจ้าของกระทู้มาอัปเดตว่า เธอได้ติดต่อไปทางบริษัท และทางบริษัทก็รับเรื่องเอาไว้ ทางนั้นยินยอมที่จะมอบส่วนลดให้ 15 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงิน 7,000 บาท และจะมอบสินค้าให้ใช้ฟรี แต่เธอไม่เอา และขอเงินคืนอย่างน้อย 15,000 บาท เพราะสินค้าบางส่วนได้แกะไปแล้ว จนนำไปสู่การเจรจากับบริษัท เธอยืนยันที่จะไม่ขอเจอตัวพนักงานขายคู่กรณี เพราะยอมรับว่ากลัว ไม่สะดวกใจที่จะเจอหน้าใด ๆ ทั้งสิ้น
สุดท้าย เมื่อได้ทำการพูดคุยกัน ทางบริษัทได้รับคืนของทั้งหมดที่ยังไม่ได้แกะ แลกกับเงินส่วนหนึ่ง ซึ่งในระหว่างที่เจรจา เธอได้ถามว่าเกิดเรื่องแบบนี้บ่อยไหม ทางบริษัทบอกว่ามี และเคสของเธอถือเป็นเคสที่เบามาก พร้อมขอบคุณทุกคนที่เข้าใจและให้กำลังใจ และถือว่านี่คือบทเรียนชิ้นใหญ่ของเธอ