สาวร้อง พ่อติดโควิด รักษาตัวที่ ร.พ. จู่ๆ ล่องหน ใครก็ไม่รู้มานอนแทน แถมเป็นคนที่มีชื่อว่าถูกเผา
วันที่ 9 มี.ค.65 น.ส.ธัชสุภา วณิชยกุลวงศ์ อายุ 33 ปี พร้อมด้วยญาติได้เดินทางมาที่ สภ.เมืองปทุมธานี เพื่อให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนเพิ่มเติม หลังจากที่พ่อมารักษาตัวโรคโควิดที่ รพ.ปทุมธานี แต่ได้หายไป น.ส.ธัชสุภา กล่าวว่า นายธีระ ระงับโจร อายุ 66 ปี พ่อของตนป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์และเข้ารักษาตัวที่เนอร์สซิ่งโฮม ต่อมาเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา พ่อติดโควิดที่เนอร์สซิ่งโฮม ซึ่งทางเนอร์สซิ่งโฮมได้พาตัวเข้ารักษาที่ ร.พ.ปทุมธานี
ต่อมาวันที่ 7 มี.ค. เวลาประมาณ 18.30 น.ทาง ร.พ.ปทุมธานี โทรมาแจ้งว่าพ่ออาการไม่ดีให้เข้ามาดูที่โรงพยาบาล ตนและญาติจึงไปที่โรงพยาบาลก็พบว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่ใช่พ่อ แต่ชื่อที่เตียงนั้นเป็นชื่อของพ่อ ตนจึงบอกกับทางโรงพยาบาลว่าคนนี้ไม่ใช่พ่อของตน ผิดหรือเปล่าเพราะเอกสารเป็นชื่อของพ่อเรา ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วว่าพ่อของตน ตนจะจำไม่ได้เลยหรือ ซึ่งทางพยาบาลก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะเอกสารได้มาแบบนี้ ตนก็ไปถามว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงเป็นใคร และโทรไปหาพี่เลี้ยงของพ่อ ซึ่งทางพยาบาลพี่เลี้ยงก็บอกว่าไม่ใช่พ่อของหนู เพราะพี่เลี้ยง ดูแลพ่อมา 7 ปี ที่เนอร์สซิ่งโฮม
ตนก็ถามว่าพอรู้จักลุงคนนี้ไหม เพราะที่เนอร์สซิ่งโฮมส่งมามีคนอื่นด้วย ซึ่งพี่เลี้ยงได้ส่งรูปมาให้ดูตนก็ได้สอบถามชื่อว่า คุณลุงที่นอนอยู่บนเตียงชื่ออะไรก็ทราบชื่อว่าลุงบุญหนา ตนก็โทรศัพท์ไปสอบถามกับเจ้าของเนิร์สซิ่งโฮม ซึ่งทางเจ้าของเขาบอกว่าลุงบุญหนา ได้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อวันที่ 23 ม.ค. เพิ่งเผาเมื่อวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่วัดหงส์ ต.บางปรอก อ.เมือง จ.ปทุมธานี ด้วยโรคโควิด
ซึ่งตนก็แปลกใจว่าถ้าคุณลุงเสียชีวิตไปแล้ว แล้วคนที่นอนอยู่บนเตียงเป็นใคร และพ่อของตนหายไปไหน ซึ่งทางโรงพยาบาลก็เช็คแล้วว่า ลุงบุญหนาเสียชีวิตไปแล้ว มาถึง ณ วันนี้ก็ยังหาคุณพ่อไม่เจอ ซึ่งตนก็ถ่ายรูปไปไห้ลูกของลุงเขาก็บอกว่าเป็นพ่อของจริงๆ และทางโรงพยาบาลนำศพใครไปเผา โรงพยาบาลปทุมธานีต้องออกมาชี้แจงให้ชัดเจนรวมถึงการรักษาด้วยถ้ารักษาสลับกันแบบนี้ พ่อของตนไม่มีโรคประจำตัวแค่ติดโควิดอย่างเดียว
ส่วนลุงบุญหนา มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว และตนก็ไม่ทราบว่าเขารักษากันแบบไหนถึงผิดพลาดกันได้ถึงขนาดนี้ โดยลุงบุญหนาก็ยังใช้ชื่อ นายธีระ ระงับโจร นอนอยู่ที่เตียงซึ่งเป็นพ่อของตนเอง ตนจึงได้ไปลงบันทึกประจำวันไว้แล้วตั้งแต่วันที่ 7 มี.ค. ซึ่งทางโรงพยาบาลไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย และทางโรงพยาบาลจะเชิญตนเองเข้าไปคุยพร้อมบอกว่าได้ข้อมูลครบถ้วนแล้ว