ผู้หญิงจากรัฐวอชิงตัน ฟ้องร้องโรงแรมชื่อดังระดับ 5 ดาว ในพื้นที่ฮาล์ฟมูนเบย์ ทางตอนใต้ของซานฟรานซิสโก สหรัฐฯ อ้างว่าพนักงานชาย “หลั่งน้ำอสุจิของเขา” ลงในขวดน้ำดื่มที่มีโลโก้โรงแรม แล้วเสิร์ฟให้กับเธอ
ตามคำฟ้องในศาลรัฐบาลกลาง คุณแม่ลูกสามที่แต่งงานแล้ว อ้างว่าเข้าพักพร้อมกับสามีของเธอ เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 เพื่อพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์ และเฉลิมฉลองวันเกิดของตัวเองด้วย โดยโรงแรมหรูแห่งนี้ห้องพักเริ่มต้นที่ราคามากกว่า 800 ดอลลาร์ต่อคืน (ประมาณ 28,700 บาท)
ระหว่างการเข้าพักคืนที่ 4 เธอได้สั่งน้ำดื่มให้ขึ้นมาส่งที่ห้องพัก แต่เมื่อจิบน้ำจากขวดที่มีโลโก้โรงแรม เธอกลับรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ “ฉันตระหนักได้ว่ารสชาติและเนื้อสัมผัสของน้ำที่กินเข้าไปอาจเป็นน้ำอสุจิ” และแม้ว่าเธอจะรู้สึกเสียใจ หวาดกลัว และอับอาย แต่ก็เล่าเรื่องที่เธอสงสัยให้สามีฟัง
หลังจากนั้น ทางโรงแรมได้ส่งขวดน้ำไปที่ห้องปฏิบัติการเพื่อทำการวิเคราะห์ และการทดสอบยืนยันว่าน้ำนั้นมี “น้ำอสุจิ” อยู่จริง ในขณะที่ผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อรู้สึกบอบช้ำทางจิตใจ จากประสบการณ์ดังกล่าว และต้องเข้ารับการบำบัดต่อไปเพราะ “มีความทุกข์ทางอารมณ์” เธอเต็มไปด้วยความกังวลว่าอาจจะติดไวรัสที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ขณะเดียวกัน การสืบสวนของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เพื่อหาตัวผู้กระทำผิดกลับต้องหยุดชะงักลงกลางคัน เนื่องจากโรงแรมปฏิเสธที่จะส่งมอบขวดที่ปนเปื้อน ทำให้ไม่สามารถเชื่อโยง DNA ในขวดน้ำ กับประวัติผู้กระทำผิดคดีทางเพศ ซึ่งถือเป็นการขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่
ตามคำฟ้องระบุว่า “โรงแรมยังปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลระบุตัวตนของพนักงานโรงแรมที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันนั้น เพื่อให้สามารถพิจารณาประวัติและประวัติอาชญากรรมของพวกเขาได้”
คำร้องเรียนดังกล่าวเรียกร้องค่าเสียหายจากการถูกล่วงละเมิด และความประมาทเลินเล่อ และเรียกร้องให้คณะลูกขุนพิจารณาคดี โดยมีการเปิดเผยด้วยว่า ทางโรงแรมได้เสนอ “คะแนนสะสม” ให้หญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่อ และสามีของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าสามารถนำมาใช้สำหรับการเข้าพัก
เทอร์เรนซ์ โจนส์ ทนายความของเหยื่อ จากสำนักงานกฎหมายคาเมรอน โจนส์ บอกกับสำนักข่าว The Pos ว่า “หนึ่งในข้อกังวลหลักของลูกความของเราก็คือ ต้องจับคนกระทำผิดครั้งนี้ให้ได้ เพื่อไม่ให้ใครตกเป็นเหยื่ออีก”
ทนายความยังบอกเพิ่มเติมด้วยว่า “จนถึงตอนนี้ทางโรงแรมมีความพยายามปกปิด มากกว่าความพยายามร่วมมือ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาพยายามปกป้องชื่อเสียง มากกว่าปกป้องแขกในโรงแรม”