สาวป่วยไฮเปอร์หวิดโดดแม่น้ำบางปะกง คับแค้นใจพยาบาล รพ.ดัง ถามหาจรรยาบรรณ อยากตายให้เกิดความเปลี่ยนแปลงและปรับปรุง
(26 มี.ค.64) เวลา 14.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ได้รับแจ้งเหตุจากพลเมืองดีว่า ที่บนสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง (สะพานเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา) ได้มีหญิงสาวมายืนอยู่บนขอบสะพาน และเตรียมที่จะกระโดดลงไปยังกลางแม่น้ำ โดยมีคนขับวินรถจักรยานยนต์รับจ้างผ่านมาพบ และได้ร้องเรียกให้แม่ค้าขนมพร้อมด้วยสามีที่ขับรถผ่านมาพอดีหยุดรถเข้าไปให้การช่วยเหลือ
หลังรับแจ้งได้มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำสายตรวจจำนวน 4 นาย จราจร 3 นาย และอาสาสมัครจากหน่วยกู้ภัยฉะเชิงเทราชายหญิง 2 คน เดินทางมายังในจุดเกิดเหตุ พบว่าหญิงสาวยังคงนั่งร้องไห้อยู่บนทางเดินเท้ากลางสะพาน สภาพแขนขาอ่อนแรง โดยมีชาวบ้านได้ช่วยกันพยายามเกลี้ยกล่อมอยู่เป็นเวลานานถึงเกือบ 30 นาที เพื่อให้หญิงสาวรายดังกล่าวยินยอมที่จะให้เจ้าหน้าที่พร้อมชาวบ้านเข้าไปให้การช่วยเหลือได้ และยินยอมที่จะให้ประคองตัวพาลงไปยังด้านล่างในสภาพที่ไม่สามารถที่จะเดินลงไปเองได้
จากการสอบถามถึงสาเหตุที่เธอได้พยายามที่จะคิดสั้นนั้น เธอได้เล่าให้ฟังอย่างช้าๆ ด้วยความยากลำบากว่า บิดาของตนวัย 71 ปี ได้มีอาการไข้ขึ้นสูง ทางญาติจึงได้พาเดินทางมาทำการรักษาจากบ้านในพื้นที่ ต.คลองอุดมชลจร อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ยัง รพ.ขนาดใหญ่แห่งนี้ที่ตั้งอยู่ในตัวเมือง จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อ 6 วันก่อน ด้วยอาการไข้ขึ้นสูงถึง 40 องศาเซลเซียส และมีอาการเกล็ดเลือดต่ำจึงเข้าใจว่าเป็นโรคไข้เลือดออก
และหลังจากแพทย์พยายามตรวจหาอาการแล้วยังระบุว่า มีอาการติดเชื้อในกระแสเลือดด้วย จึงได้ให้เข้าไปทำการรักษาอยู่ภายในห้องไอซียู และต่อมาทางแพทย์ยังระบุว่า น่าจะมีอาการของวัณโรคด้วย จากนั้นจึงได้ให้ย้ายออกมาจากห้องไอซียู มาพักรักษาตัวยังที่ตึกอายุรกรรมชั้น 6 แต่พอย้ายออกมา ทางตึกอายุรกรรม กลับไม่ได้ให้คำแนะนำในการดูแลอาการของผู้ป่วยให้แก่ทางญาติได้ทราบเลย ทั้งยังไม่เคยได้พบคุณหมอ และยังไม่เคยรู้เลยว่าผู้เป็นบิดานั้นป่วยเป็นโรคอะไรที่แน่ชัด
ตนจึงได้พยายามที่จะติดต่อประสานงานไปยัง รพ.แห่งอื่น ย่านสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อนำตัวผู้เป็นบิดาไปทำการรักษา แต่กลับไม่ได้รับความยินยอมให้ความร่วมมือจากทางเจ้าหน้าที่ โดยทางเจ้าหน้าที่อ้างว่าต้องให้ทาง รพ.ปลายทาง ติดต่อมา และให้ทำหนังสือร้องขอเข้ามา แต่เมื่อตนประสานไปยัง รพ.ปลายทาง ได้รับคำตอบว่าทาง รพ.ต้นทางต้องเป็นฝ่ายส่งเรื่องไป อีกทั้งเจ้าหน้าที่ทางนี้ยังยืนยันด้วยว่า หากทาง รพ.ปลายทางอยากได้ลูกค้า ก็จะต้องเป็นฝ่ายติดต่อเข้ามาเอง และจะไม่ยินยอมทำเรื่องส่งตัวไปให้
นอกจากนี้เมื่อวันวาน บิดาของตนนั้นยังมีอาการดีกว่านี้มาก สามารถพูดคุยรู้เรื่องและยังไม่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ แต่เขากลับไม่ยอมทำเรื่องให้ตั้งแต่เมื่อวันวาน จนมาถึงในวันนี้ตนได้กลับมาเยี่ยมดูอาการของผู้เป็นบิดาอีกครั้ง ได้พบว่าผู้เป็นพ่อต้องถูกใส่เครื่องช่วยหายใจ และถูกส่งกลับเข้าไปทำการรักษายังภายในห้องไอซียูอีกครั้ง จึงทำให้ตนเกิดความเครียดมีอาการไฮเปอร์ (Hyperactivity) กำเริบ ซึ่งเป็นโรคประจำตัว และทำให้เกิดอาการซึมเศร้าแขนขาชาเกร็งอ่อนแรง และยังเป็นตะคริวด้วย
ทางเจ้าหน้าที่ด้านบนตึกจึงได้ให้ส่งตนลงมายังที่ห้องฉุกเฉิน โดยมีผู้เป็นมารดาของตนนำบัตรไปยื่น เพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษา ส่วนตนนั้นได้ถูกนำเข้าไปยังด้านในห้องฉุกเฉินแล้ว และมีทางเจ้าหน้าที่พยาบาลเข้ามาพยายามที่จะซักถาม แต่ตนยังคงอยู่ในภาวะที่ยังเหนื่อยหอบอยู่จึงยังตอบคำถามไม่ค่อยได้ และได้พยายามขอพักก่อน แต่กลับถูกพูดกระแทกเสียงใส่ว่าไม่รักษาก็ไม่ต้องรักษา จากนั้นจึงได้พยายามที่จะขอลงจากเตียง เพื่อที่จะออกไปหาผู้เป็นมารดา แต่กลับถูกไล่ส่งอีกว่า “อยากจะไปก็ไปเลยไป”
หลังจากตนเองเดินออกไปหามารดาแล้ว เจ้าหน้าที่ผู้รับบัตรข้างหน้าห้อง ยังพูดตะคอกใส่มารดาของตนอีกว่า “บอกให้ป้าไปรอข้างนอกไง บอกให้ป้าไปนั่งรอไง” จึงทำให้ตนอึดอัดคับแค้นใจต่อการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ภายใน รพ.แห่งนี้ ส่วนการที่ตนจะไปกระโดดลงแม่น้ำบางปะกงในวันนี้ เนื่องจากตนไม่อยากจะต่อสู้กับคนพวกนี้อีกแล้ว หากตนไปแล้วคนหนึ่งมันอาจจะทำให้ทางโรงพยาบาลทำการปรับปรุงการรักษาดูแลผู้ป่วยให้เปรียบเสมือนกับญาติกันได้มากขึ้น และตนเชื่อว่ามันจะดีกว่านี้
โดยสิ่งที่ตนและมารดาพบเห็นเมื่อวันก่อนนั้น เพราะเห็นเขาทำเสมือนกับคนที่มาทำการรักษาแล้วเสียชีวิตไปไม่มีค่า ไม่มีความหมายอะไรเลย โดยเมื่อวันวานมีผู้ป่วยที่นอนรักษาตัวอยู่ มีเลือดจากสายน้ำเกลือไหลนองจนท่วมที่นอน แต่กลับไม่มีพยาบาลในตึกเข้ามาคอยดูแลเลยสักคน จนเวลาผ่านไปถึงเกือบหนึ่งชั่วโมง จึงได้มีพยาบาลฝึกงานเข้ามา ตนจึงได้แจ้งให้เขาทราบจากนั้นจึงได้มีการไปบอกต่อทางเจ้าหน้าที่พยาบาลเวรให้เข้ามาดู
หลังจากเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่สบายใจเกิดขึ้นเกี่ยวกับการดูแลเอาใจใส่ ในการรักษาผู้ป่วยเกิดขึ้นให้เห็นแล้ว ตนจึงได้พยายามที่จะทำเรื่องขอย้ายโรงพยาบาลดังกล่าว อีกทั้งยังพบว่า ในระหว่างที่มีการพักเบรกไม่ให้ญาติเข้าเยี่ยมเป็นเวลานาน 3 ชม. ก่อนที่ญาติจะกลับเข้ามาใหม่ได้ จึงมาพบว่าบิดาของตนนั้นสายออกซิเจนหลุดกระจัดกระจาย และพูดจาไม่รู้เรื่อง ทั้งที่ก่อนที่พวกตนจะออกจากห้องไปบิดาของตนนั้นยังพูดรู้เรื่อง จึงไม่ทราบว่าทางโรงพยาบาลดูแลผู้ป่วย หรือบิดาของตนอย่างไร
และไม่มั่นใจว่าจรรยาบรรณที่เขามี เขาจะช่วยชีวิตบิดาของตนหรือคนไข้ได้จริงๆ หรือไม่ ซึ่งตนก็เข้าใจว่างานของพวกเขาหนัก แต่การที่จะช่วยแนะนำญาติให้ช่วยดูแลผู้ป่วยมันก็สามารถช่วยได้ ที่ผ่านมาได้เคยพยายามที่จะขอคำแนะนำแล้ว แต่กลับไม่เคยได้รับความร่วมมือ และไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อหมอเจ้าของไข้ แต่พอจะขอย้ายโรงพยาบาลก็บ่ายเบี่ยงเกี่ยงกันไปมา ตนจึงไม่รู้ว่าเขามีจรรยาบรรณในวิชาชีพจริงหรือไม่ หรือจบพยาบาลวิชาชีพมาหรือเปล่า
โดยเมื่อวันก่อนที่บิดาตนจะถูกย้ายเข้าไปในห้องไอซียูครั้งแรก ในช่วงเช้ามีผู้ป่วยรายหนึ่งนอนรักษาอยู่บนเตียงใกล้ๆ และพอบิดาตนถูกให้ย้ายกลับออกมา มารดาตนได้ถามกับทางเจ้าหน้าที่ว่าคุณลุงที่เคยนอนอยู่ใกล้ๆ กันไปไหน ได้มีพยาบาลคนแรกพูดโพล่งออกมาทื่อๆว่า “ตาย” ทั้งที่พ่อของตนที่นอนอยู่นั้นยังอาการไม่ดี และอยู่ในสภาพจิตใจที่ไม่ปกติ รวมถึงยังทำให้มารดาของตนตกใจต่อคำตอบที่ได้รับอีกด้วย
จากนั้นยังได้มีพยาบาลอีกคนได้หันมา แล้วก็บอกย้ำอีกว่า “ตายแล้ว” จึงอยากถามว่านี่คือจรรยาบรรณวิชาชีพของพยาบาลใช่ไหม ทั้งที่คำว่าตายกับเสียชีวิตมีความหมายเหมือนกัน แต่ต่างกันมากทางความรู้สึกของญาติผู้ป่วย จึงทำให้ตนเองรู้สึกว่า “พวกคุณไม่ได้จบพยาบาลวิชาชีพมาจริงๆ ใช่ไหม คุณไม่ได้มีจรรยาบรรณวิชาชีพของพยาบาลจริงๆ ใช่ไหม แต่ก็เข้าใจว่าพวกคุณมีงานเยอะมีเคสมาก คนป่วยเยอะเจ้าหน้าที่ก็มีงานเยอะ
เราจึงไม่อยากเป็นภาระ ทั้งที่เราอยากดูแลกันเองด้วยซ้ำไป จึงอยากจะขอย้ายพ่อของเราออกมา เพราะยิ่งอยู่ก็ยิ่งแย่ลง ทั้งอากาศร้อนและอึดอัด เมื่อวานกลับไปจึงได้พยายามไปติดต่อยังโรงพยาบาลที่จะย้ายไปแล้ว ซึ่งทางโรงพยาบาลปลายทางได้แจ้งว่าทางโรงพยาบาลที่กำลังรักษาอยู่จะต้องเป็นฝ่ายติดต่อไปจึงไม่เข้าใจว่าจะเกี่ยงกันอยู่ทำไม เพราะนี่มันคือการรักษาชีวิตคน
การที่ตนตัดสินใจที่จะกระโดดน้ำลงไป ก็คิดว่าพ่อกับแม่อาจจะต้องเสียใจ แต่ถ้าชีวิตตนมันทำให้ไปช่วยชีวิตคนอื่นได้ ช่วยชีวิตพ่อได้ตนก็ยอม เพราะเท่าที่ตนเห็นมาเสมือนกับเขาเห็นคนที่ตายเป็นเรื่องปกติ หรือไร้ความเป็นคน เพราะพวกเขาเห็นว่าคนที่ตายคนหนึ่งก็แค่คนตาย
ด้าน นางปารมี อายุ 46 ปี แม่ค้าส่งขนม ผู้ที่ให้การช่วยเหลือและเกลี้ยกล่อมหญิงสาวที่กำลังคิดสั้นอยู่เป็นเวลานานในที่เกิดเหตุ และยังติดตามมาช่วยคอยดูแล และเกลี้ยกล่อมจนถึงยังที่ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา อีกเป็นเวลานานถึงกว่า 1 ชม. จนหญิงสาววัย 35 ปี ที่กำลังคิดสั้นมีการดีขึ้น
โดยเห็นถึงสภาพร่างกายและจิตใจที่สดชื่นขึ้นมาได้อย่างชัดเจน ก่อนที่จะยินยอมให้ญาติพากลับบ้านพักไป กล่าวว่า ตนดีใจที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังคิดฆ่าตัวตายเพราะได้บุญ เมื่อเห็นคนที่กำลังมีปัญหาแล้ว หากช่วยได้ก็ต้องช่วย ขนาดเห็นสัตว์กำลังจะตายเรายังต้องช่วยเหลือเลย แล้วคนที่กำลังมีความทุกข์เราจะปล่อยได้อย่างไร จึงได้ตามมาช่วยพูดคุยต่อจนถึงยังที่โรงพัก
เนื่องจากหญิงสาวรายนี้ ยังอยู่ในภาวะหวาดระแวงที่ยังไม่ไว้ใจใคร แต่เขาได้ไว้ใจเรา เชื่อเราจึงต้องตามมาช่วยให้ถึงที่สุด เนื่องจากในช่วงแรกทางเจ้าหน้าที่ได้พยายามที่จะนำพากลับไปส่งยังที่ในโรงพยาบาล ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาเพิ่งมีปัญหากันออกมา เขาจึงไม่ยอมที่จะไป แต่หลังจากเราช่วยจนสำเร็จแล้ว กลับทำให้เรามีความภาคภูมิใจและมีความสุขไปด้วย เนื่องจากเป็นการสร้างบุญอย่างหนึ่ง และเป็นโอกาสที่ได้ช่วยคนได้ทำความดี นางปารมี กล่าว