สาวท้องโวย โดนทหารเมา ขับรถชนท้าย ขณะจะไปรพ. ก่อนชิ่งหนีต่อหน้าตำรวจ จ่ารับสภาพกรึ่มจริง แต่ไม่ได้เมา พร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง ยันไม่ได้หนี แค่แยกย้าย
วันที่ 25 ก.ค.2565 ทางข่าวสดออนไลน์ได้สอบถามหญิงสาวหลังโพสต์ถูกทหารเมาขับเก๋งชนขณะตนเองกำลังขับรถไปรพ. แล้วไม่ยอมเรียกประกัน หนีไปต่อหน้าตำรวจ โดยเผยว่า วันเกิดเหตุ ตนมีนัดกับหมอและกำลังขับรถไปโรงพยาบาลสินแพทย์ ระหว่างรถติดอยู่ช่วงทางกลับรถ บริเวณถนนประดิษฐ์มนูธรรม ก็มีรถขับเข้ามาชนข้างหลังเลยลงไปดู
ทั้งนี้ฝ่ายคู่กรณีได้เปิดกระจกรถลงมาแล้วกวักมือเรียก เห็นสภาพตัวแดงตาแดง ตนก็บอกว่ารถมีประกัน ให้เรียกประกันมา แต่คู่กรณีบอกว่า เอาเบอร์โทรศัพท์มา ตนก็ให้เรียกประกัน เขาก็ไม่ยอม ก่อนพยายามจะขับรถเบี่ยงหนี ตนก็ยืนขวางรถไว้ แล้วโทรศัพท์แจ้งตำรวจสน.โคกคราม แต่เมื่อตำรวจมาถึง ก็แยกกันไปพูดคุยเพียงสองคน โดยที่ตนไม่ได้ไปร่วมคุยด้วย แล้วตำรวจก็มาบอกว่า คู่กรณีขอเคลียร์พรุ่งนี้ได้ไหม ตนก็ไม่ยอม ต่อมา พอเจ้าหน้าที่ประกันภัยมาถึง ก็ขอใบขับขี่คู่กรณี จึงทราบว่าเป็นทหาร เขาก็อ้างว่าร้อนแล้วขึ้นไปนั่งบนรถ ก่อนขับรถหนีไปเลย
หลังเกิดเหตุตนก็แจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ กระทั่งวานนี้ (24 ก.ค.) ราว 22.00น.คู่กรณีได้โทรศัพท์มาขอโทษ พร้อมขอให้ถอนแจ้งความ ตนก็ยังตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรต่อ เพราะก็ไม่อยากให้เกิดเหตุลักษณะนี้ซ้ำกับใครอีก แต่ตัวเองก็ไม่อยากเสียเวลาเพราะกำลังตั้งครรภ์ แต่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับเขาได้ ยอมรับว่ายังกลัว
ทั้งนี้ฝ่ายตำรวจเอง ก็ควรมีมาตรการกับคนเมาแล้วขับมากกว่านี้ เพราะตนแจ้งตั้งแต่แรกว่าคู่กรณีมีท่าทางมึนเมา ตำรวจก็บอกว่าต้องนำตัวไปตรวจวัดแอลกอฮอล์ที่โรงพัก ซึ่งหากทราบแบบนี้ ก็ควรมีมาตรการอะไรมากกว่านี้ ไม่ใช่ปล่อยให้ขับหนีไปทั้งที่เมา
นอกจากนี้ยังมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ภาพรถของคู่กรณี ระบุว่าพบในละแวกที่พักอาศัยตัวเอง แต่ตัวเองเห็นว่ารถคู่กรณีมีร่องรอยการชนเพิ่มเติม คือกระจกข้างหลุดและกระจกหน้ามีรอยแตก เกรงจะไปเกิดเหตุอะไรเพิ่ม เพราะตอนชนรถตน ส่วนที่เอ่ยมานั้นไม่เป็นอะไร
ด้านทหารยศจ่าสิบเอกคู่กรณี เผยว่า เมื่อวานนี้หลังเกิดเรื่อง ได้ติดต่อไปหาขอโทษผู้เสียหายและพ่อแม่ของผู้เสียหายที่มายังจุดเกิดเหตุด้วย เข้าใจว่าผู้เสียหายคงตกใจ และเท่าที่คุยกัน คิดว่าน่าจะเป็นการเข้าใจผิดกัน เพราะตนได้คุยกับประกันเรียบร้อยแล้วและให้ข้อมูลส่วนตัวทุกอย่างไปทั้งหมด
ยืนยันว่าไม่ได้ขับรถหลบหนีตามที่เป็นข่าว พอเห็นข่าวก็รู้สึกตกใจว่าทำไมถึงออกมาเป็นรูปแบบนี้ ทั้งที่ตนยอมรับผิดและยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าดื่มแอลกอฮอล์มาจริง แต่ไม่ได้มาก เพราะหากเมาหนัก จะไม่สามารถขับรถกลับบ้านได้แน่นอน แต่ช่วงเวลาเกิดเหตุ ตนกำลังขับรถกลับที่พักด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ยืนยันว่าไม่มีใครเจตนาที่จะให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่พอเป็นอุบัติเหตุ ตนก็ต้องรับผิดชอบ ซึ่งก็รอให้ร้อยเวรโทรมานัดวันเพื่อไปไกล่เกลี่ยกับผู้เสียหายอีกครั้ง
จ.ส.อ.เล่าอีกว่า ในช่วงเกิดเหตุ ตนไม่ได้แสดงออกว่าเป็นทหารและไม่ได้เบ่งด้วย แต่การที่อีกฝ่ายรู้ว่าตนเป็นทหาร เพราะตนได้ให้ข้อมูลใบขับขี่เขาไว้เป็นหลักฐานว่าไม่ได้หลบหนี เขาเลยรู้ว่าเรามียศเป็นทหาร ซึ่งช่วงที่รถชนนั้น ตนขับรถมาจากลาดพร้าวกำลังมุ่งหน้าไปที่พักย่านรามอินทรา ส่วนเขากำลังกลับรถหลังจากมุ่งหน้ามาจากเลียบด่วน ซึ่งตนวิ่งในทางเอกคือเลนขวาสุด แต่ปรากฎว่าอีกฝ่ายกลับรถแล้วจะเข้าเลนขวาเลย ด้วยความกระชั้นชิดเลยเบรกไม่ทัน จึงต้องหักหลบไปกระแทกมุมซ้ายเขา
อย่างไรก็ดีถ้าตนไม่หักหลบคงเข้ากลางลำของรถเลย และรถทั้งคู่จะเสียหายหนักกว่านี้ หลังจากนั้นพอตำรวจสายตรวจมา เขาก็ถามตนว่ามีประกันหรือไม่ ซึ่งตนไม่มีประกัน ส่วนผู้เสียหายมีประกัน ตนก็รอประกันของผู้เสียหาย ตำรวจเขาก็เลยโอเคที่เราสามารถตกลงกันได้
ตอนนั้นตนพยายามที่จะลงจากรถด้วย เนื่องจากแรงกระแทกทำให้ประตูเปิดไม่ได้ จนต้องยอมพังประตูตัวเองลงมาพูดคุยกับผู้เสียหาย ประกัน และตำรวจ ซึ่งตอนแรกแฟนของผู้เสียหายก็ลงมาพูดด้วยอารมณ์โมโห แต่ตนก็เข้าใจ และขับรถให้ตีคู่กันกับผู้เสียหาย เนื่องจากรถตนอยู่ด้านหน้า
จากนั้นต่างคนก็ต่างรอประกัน และตนก็เป็นคนบอกว่าให้อีกฝ่ายรอบนรถด้วยความที่อากาศมันร้อนมาก ก่อนที่พ่อแม่ของน้องผู้เสียหายจะตามมา และตนก็ลงไปคุยทักทายด้วยตามปกติ แต่เท่าที่สังเกตก็เห็นว่าแฟนของผู้เสียหายที่มาด้วยพยายามจะมายืนอยู่หน้ารถตน คาดว่ากลัวจะหนี ตนก็บอกว่า “ไม่หนีไปไหนหรอก” ซึ่งเคลียร์กันแล้วเรียบร้อยเมื่อประกันมา ก่อนแยกย้ายกันไป
ยอมรับว่า งงกับข่าว เพราะชื่อในใบขับขี่ก็มี ตนจะหนีทำไม และยืนยันด้วยว่าไม่ได้เมา ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว รอคุยตำรวจและประกัน พร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง