สาวขอความเป็นธรรม เพื่อนร่วมงานหนุ่มกระโดดเตะหน้า เจ็บหนักยังต้องลาออก

Home » สาวขอความเป็นธรรม เพื่อนร่วมงานหนุ่มกระโดดเตะหน้า เจ็บหนักยังต้องลาออก


สาวขอความเป็นธรรม เพื่อนร่วมงานหนุ่มกระโดดเตะหน้า เจ็บหนักยังต้องลาออก

หญิงถูกเพื่อนร่วมงานชายกระโดดเตะหน้าสลบ อ้างว่าโดนแย่งงาน ร้องไม่ได้รับความยุติธรรม ต้องลาออกจากงาน เจ็บทั้งกายและใจ จิตตกนอนไม่หลับต้องพบจิตแพทย์

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 พ.ค.66 น.ส.ชลิตา บุญท้วม หรืออุ้ย อายุ 30 ปี พนักงานส่งพัสดุของบริษัทดังแห่งหนึ่ง ได้เปิดใจกับ ‘ข่าวสดออนไลน์’ หลังจากที่เธอได้โพสต์คลิปวิดีโอร้องขอความช่วยเหลือ เนื่องจากถูกเพื่อนร่วมงานชายเตะหน้าจนสลบ อ้างว่าเธอแย่งงานไป

น.ส.ชลิตา กล่าวว่า ก่อนหน้าวันเกิดเหตุ 2-3 วัน ได้มีปากเสียงทะเลาะกันเรื่องเส้นทางการทำงาน อีกทั้งมีน้องในทีม 1 คน หยุด เลยต้องนำงานมาแบ่งกัน จนกระทั่งวันเกิดเหตุ (30 มี.ค.66) น้องคนที่หยุดไปกลับมาทำงาน ตนเองจึงให้น้องคนดังกล่าวเป็นคนกลางประสานว่าจะแบ่งงานกันอย่างไร หลังจากนั้นผู้ก่อเหตุจึงไม่พอใจที่น้องคนดังกล่าวเป็นคนมาประสาน ผู้ก่อเหตุจึงโมโห และตะโกนใส่หน้าตนเอง ซึ่งตนเองได้ตอบกลับไปว่า “พูดกันดี ๆ ก็ได้ ไม่ต้องขึ้นกู มึงก็ได้” เนื่องจากตนเองอายุมากกว่าด้วย

แต่ทว่าเรื่องราวกลับบานปลาย เริ่มมีปากเสียงรุนแแรงขึ้นเรื่อยๆ จนผู้ก่อเหตุเริ่มพูดจาไม่รู้เรื่อง เดินเข้ามาใกล้ ๆ ทำท่าทีเหมือนจะทำร้ายร่างกาย และด้วยความโมโหเช่นเดียวกัน น.ส.ชลิตา จึงพลั้งปากตอบกลับไปว่า “จะทำเราเหรอ? ทำสิ” จากนั้นผู้ก่อเหตุจึงกระโดดถีบหน้าที่บริเวณเบ้าตา แต่วันนั้นตนเองใส่แว่นตา จึงทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณดวงตามาก แต่บาดเจ็บบริเวณรอบ ๆ ดวงตา โหนกแก้ม รวมถึงต้นคอ เนื่องจากตนเองล้มลงกระแทกกับพื้น จากนั้นภาพก็ตัดและสลบไปประมาณ 1 นาที ก่อนที่น้องในที่ทำงานจะเข้ามาช่วยห้าม และปลุกตนเองให้ตื่น

ส่วนสาเหตุการทำร้ายร่างกายในครั้งนี้ น.ส.ชลิตา กล่าวว่า คู่กรณีไม่พอใจการแบ่งงาน เพราะเขาอยากได้ทุกเขตที่ตนเองวิ่งผ่านด้วย ทั้งนี้กระบวนการทำงานจะเป็นในรูปแบบ Incentive ขั้นบันได ยิ่งได้จำนวนกล่องหรือพัสดุเยอะ ก็ได้เงินมากขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้ว 1 ตำบล ในทีมจะแบ่งงานให้เท่า ๆ กัน แต่มีช่วงหนึ่งที่เขางานน้อยกว่าตนเอง จึงแบ่งงานไปให้ แต่หลังจากนั้น พอตนเองงานไม่พอ อยากจะดึงงานกลับมา เขาก็ไม่ให้แล้ว พร้อมบอกว่า “มาก่อน มีสิทธิ์จะได้ทุกอย่าง จะเอาตรงไหนก็ได้”

อย่างไรก็ตาม น.ส.ชลิตา ยังกล่าวอีกว่า ผู้ก่อเหตุเป็นน้องชายของแฟน เคยรู้จักกันมาประมาณ 4-5 ปีแล้ว ปกติก็คุยกันดี ไม่ได้มีปัญหาเบาะแว้งอะไร แต่ปกติผู้ก่อเหตุมักจะอารมณ์ร้อนอยู่แล้ว

ทั้งนี้ตนเองได้ไปแจ้งความแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้มีความคืบหน้าใด ๆ เนื่องจากทางตำรวจบอกให้รอผลตรวจร่างกายจากทางโรงพยาบาลถึงจะแจ้งข้อกล่าวหาได้ ตนเองจึงไปตามที่ผลตรวจจากทางโรงพยาบาล แต่ทางโรงพยาบาลกลับให้ไปตามที่ตำรวจ ตอนนี้เลยไม่รู้ว่าต้องตามที่ใคร

ส่วนตอนนี้ตนเองได้ลาออกมาแล้ว เนื่องจากไม่สบายใจที่จะอยู่ เพราะตอนที่ตนเองไปขอกล้องวงจรปิด แต่หัวหน้ากลับบอกให้ตนเองยอมความ จะได้ทำงานด้วยกันได้ต่อ ส่วนคู่กรณีก็ยังกลับไปทำงานเช่นเดิมไม่ได้ถูกลงโทษอะไร ตนเองจึงรู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม ในขณะเดียวกันตนเองได้โทรไปที่สำนักงานใหญ่ แต่ก็พบว่าไม่ได้มีการแจ้งเรื่องเข้าไปแต่อย่างใด

ส่วนคู่กรณีก็ได้มาขอโทษแล้ว แต่เหมือนไม่เต็มใจ เพราะหัวหน้าบังคับให้ขอโทษ ซึ่งถ้าเป็นเรื่องงานตนเองไม่ได้ติดใจอะไร ให้อภัยได้ แต่เรื่องคดีความ การทำร้ายร่างกายตนเองไม่ยอมแน่ เพราะตอนนี้ถึงแม้ร่างกายจะดีขึ้นแล้ว แต่แผลในใจยังคงอยู่ อีกทั้งตนเองป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ต้องไปพบจิตแพทย์ทุกเดือน ยิ่งมาเจอเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ ยิ่งทำให้แย่ลง เครียดจนนอนไม่หลับ

สุดท้ายนี้อยากฝากให้เขามารับผิดชอบค่าเสียหายของแว่นตาที่พังไป เพราะตนเองสายตาสั้นมาก ซึ่งตอนนี้คู่กรณีก็ได้ปัดความรับผิดชอบไป ตนเองได้ต้องออกเงินไปเองก่อน และอยากจะให้เขาเข้าไปพบตำรวจด้วย ที่สำคัญไม่อยากให้ไปทำแบบนี้กับใคร การคุยกันเรื่องงานหรือจะเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ไม่ควรใช้อารมณ์ ซึ่งตนเองยอมรับว่าวันนั้นผิดเองที่ไปท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์มาทำร้ายร่างกายคนอื่น ไม่ว่าจะโมโหขนาดไหนก็ตาม

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ