สาวกินผัก-ไข่ต้ม ทุกวัน 3 มื้อ แต่กลับน้ำหนักขึ้น 7 กก. ตรวจ "ภูมิแพ้" ถึงรู้ว่าพลาดตรงไหน?

Home » สาวกินผัก-ไข่ต้ม ทุกวัน 3 มื้อ แต่กลับน้ำหนักขึ้น 7 กก. ตรวจ "ภูมิแพ้" ถึงรู้ว่าพลาดตรงไหน?
สาวกินผัก-ไข่ต้ม ทุกวัน 3 มื้อ แต่กลับน้ำหนักขึ้น 7 กก. ตรวจ "ภูมิแพ้" ถึงรู้ว่าพลาดตรงไหน?

สาวกินผัก-ไข่ต้ม ทุกวัน 3 มื้อ แต่กลับน้ำหนักขึ้น 7 กก. ตรวจ “ภูมิแพ้” ถึงรู้ว่าพลาดตรงไหน ยิ่งประหลาดใจกับสิ่งที่แฝงอยู่ในร่างกาย

ไข่และผัก ถือเป็นอาหารแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก อย่างไรก็ตาม มีหญิงสาวรายหนึ่งไม่เพียงแต่ลดน้ำหนักไม่ได้ แต่กลับน้ำหนักเพิ่มขึ้น แม้จะกินเฉพาะไข่และผักเป็นเวลาครึ่งปี

น้ำหนักเพิ่มขึ้นแม้กินอาหารเพื่อสุขภาพ

หยางจื้อเหวิน ผู้เชี่ยวชาญด้านการลดน้ำหนักและแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ที่คลินิกเสี่ยวโจวชูริ ในไต้หวัน เล่าว่า ผู้ป่วยรายนี้ทำงานเป็นผู้ช่วยเภสัชกรและมีความรู้ด้านการดูแลสุขภาพบ้าง แต่แม้จะกินอาหารเพื่อสุขภาพมาเป็นเวลาครึ่งปี เธอกลับน้ำหนักเพิ่ม รู้สึกเหนื่อยล้า และมีอาการปวดเมื่อยตามตัวบ่อยครั้งโดยไม่สามารถระบุจุดที่เจ็บได้ชัดเจน

เพื่อหาสาเหตุ เธอจึงเข้ารับการตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์ ตับ ไต และภาวะโลหิตจาง ซึ่งผลออกมาปกติ แต่เธอยังคงน้ำหนักเพิ่มขึ้นจนรู้สึกกังวล สุดท้ายเธอได้ตรวจหาภูมิแพ้อาหารแบบ IgG4 และพบว่าเธอแพ้ไข่อย่างน่าประหลาดใจ

ภูมิแพ้เรื้อรังจากอาหาร: สาเหตุที่มักถูกมองข้าม

หยางจื้อเหวินอธิบายว่า ความเข้าใจของคนส่วนใหญ่เกี่ยวกับ “ภูมิแพ้” มักจำกัดอยู่ที่การแพ้แบบเฉียบพลันที่เกิดจาก IgE เช่น หนังตาบวมหลังจากกินกุ้ง หายใจลำบากหลังดื่มเครื่องดื่มที่มีถั่ว หรือผื่นลมพิษหลังจากกินลูกพีช การแพ้ประเภทนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการงดอาหารที่เป็นสารก่อภูมิแพ้ อย่างไรก็ตาม การแพ้อาหารแบบแฝง IgG4 มักถูกมองข้าม เนื่องจากมีอาการแสดงที่ช้าและไม่ชัดเจน

ภูมิแพ้เรื้อรังไม่ได้ส่งผลต่อแค่น้ำหนักเท่านั้น แต่ยังสร้างปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้อีกมาก

หยางจื้อเหวินแนะนำว่า หากคุณใส่ใจเรื่องการกินและออกกำลังกายเป็นประจำ แต่น้ำหนักยังเพิ่มขึ้นพร้อมกับอาการอื่น ๆ เช่น นอนไม่หลับ ผิวหนังอักเสบ ปวดเมื่อยตามตัว หรือเหนื่อยล้า ควรตรวจหาภาวะภูมิแพ้หรือตรวจลำไส้เพื่อหาเหตุที่แท้จริง

ควรทำอย่างไรหากมีภาวะภูมิแพ้อาหาร?

สวี่จิงอี้ นักโภชนาการจากคลินิกลี่อัน ในไต้หวัน กล่าวว่าความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าอาหารชนิดนั้นดีหรือไม่ดี แต่ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนแพ้อาหารชนิดใด โดยการตรวจหาสารก่อภูมิแพ้สามารถช่วยให้เข้าใจระดับการแพ้ของอาหารแต่ละชนิด

หากเป็นการแพ้แบบเล็กน้อย สามารถกินได้ปกติ แต่ควรลดปริมาณลงและหลีกเลี่ยงการกินต่อเนื่องเกิน 4 วัน หากเป็นการแพ้ปานกลาง ควรหลีกเลี่ยงอาหารชนิดนั้นอย่างน้อย 3-6 เดือน แล้วตรวจซ้ำก่อนเริ่มบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม

สวี่จิงอี้แนะนำว่า นอกจากหลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้ปานกลางถึงรุนแรงแล้ว ควรปรับปรุงสุขภาพลำไส้ด้วยการเสริมโพรไบโอติกและใยอาหาร รวมถึงวางแผนการกินแบบหมุนเวียนหลากหลาย เช่น หากแพ้ข้าวสาลี อาจเลือกซูชิหรือมันหวานเป็นอาหารหลัก หรือหากแพ้ไข่ขาวหรือไข่แดง อาจใช้ไก่หรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองแทนโปรตีน เพื่อลดความเสี่ยงจากภูมิแพ้อาหาร

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ