สงขลา หลังกลับจากเทศกาลวันหยุดยาว สาธารณสุขจังหวัด ใช้มาตรการคุมเข้มโควิด ขอความร่วมมือประชาชน หมั่นสังเกตอาการตนเอง จี้ ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น
นายแพทย์สงกรานต์ ไหมชุม นายแพทย์สาธารณสุข(สสจ.) สงขลา กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวันเป็นช่วงที่ประชาชนมีการเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวในสถานที่ ต่าง ๆ สสจ.จึงขอความร่วมมือประชาชนที่เดินทางกลับมาแล้ว ให้หมั่นสังเกตอาการตนเอง
“มีอาการไอ เจ็บคอ ไข้ ปวดกล้ามเนื้อ มีน้ำมูก ปวดศีรษะ หายใจลำบาก หรือไปยังพื้นที่เสี่ยงโดยไม่ได้ มีการป้องกันที่ดีพอให้ตรวจ ATK (Antigen Test Kit) ก่อนกลับเข้าทำงาน โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางด้วยขนส่งสาธารณะนานเกิน 4 ชั่วโมง หรือไปในสถานที่ที่มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก”
นายแพทย์สงกรานต์เปิดเผยว่าหากตรวจ ATK แล้วผลพบติดเชื้อโควิด 19 (ขึ้น 2 ขีด) และเป็นกลุ่มที่มีอาการไม่มากหรือกลุ่มสีเขียวให้เข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยนอกที่หน่วยบริการตามสิทธิหรือหน่วยบริการปฐมภูมิ ในพื้นที่ตามนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ของกระทรวงสาธารณสุข และกักรักษาตัวที่บ้านตาม กำหนดเป็นเวลา 10 วัน
นายแพทย์สงกรานต์เปิดเผยว่าประชาชนทั่วไป ก่อนกลับเข้าทำงานให้ประเมินตนเองผ่านไทยเซฟไทย หรือแอปพลิเคชันอื่น ๆ หากพบว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง (ไม่สวมหน้ากากอนามัย , สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อในระยะ 1 เมตรนานกว่า 5 นาที อยู่ในพื้นที่ปิดไม่มีอากาศถ่ายเท และอยู่
ห่างจากผู้ติดเชื้อไม่เกิน 1 เมตร นานกว่า 15 นาทีโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย
“เฝ้าระวังตนเองหากมีอาการให้ตรวจ ATK 2) อยู่บ้านเป็นระยะเวลา 5 วัน และติดตามสังเกตอาการตนเอง ออกจากบ้านเท่าที่จำเป็น 3) สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ออกจากบ้าน 4)ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวร่วมกับบุคคลอื่น 5) หลีกเลี่ยงรับประทานอาหารกับบุคคลอื่น”
นายแพทย์สงกรานต์ เปิดเผยว่า สถานที่ทำงานต้องปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข จัดให้มีเจลแอลกอฮอล์ไว้บริการอย่างเพียงพอ ทำความสะอาดบริเวณพื้นที่ส่วนกลางและจุดสัมผัสร่วมของสำนักงาน มีภาชนะรองรับขยะประเภทอยู่ในสภาพดี และกำหนดจุดรวบรวมเพื่อรอการนำไปกำจัดอย่างถูกต้อง ทำความสะอาดระบบระบายอากาศอย่างสม่ำเสมอ
“การฉีดวัคซีนเป็นมาตรการที่สำคัญ และการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 เพียง 2 เข็มอาจมีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อลดลงเมื่อช่วงเวลาผ่านไป และไม่เพียงพอที่จะป้องกันการติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนได้ วัคซีนเข็มกระตุ้นได้ที่สถานบริการสาธารณสุขทุกแห่ง”
