ส.ว. ชี้ อยากให้หนุนแก้มาตรา 272 ต้องวิงวอน ไม่ใช่มาด่า ก้าวไกล ย้อน ส.ว.มีศักดิ์ศรีพอหรือ มาวิงวอน ส.ส. จี้ โหวตปิดสวิตช์ตัวเอง

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 7 ก.ย. 2565 ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมจำนวน 4 ฉบับ ต่อเป็นวันที่ 2 โดยนพ.เจตน์ ศิรธารานนท์ ส.ว. อภิปรายว่า การแก้ไขมาตรา 272 นั้น เมื่อวานนี้ (6 ก.ย.) มีส.ส.ได้อภิปรายกันมากจนถึงวันนี้ ตนได้นั่งฟังและคิดตาม สิ่งที่ท่านอภิปรายไม่ใช่ของใหม่ เป็นสิ่งที่ท่านอภิปรายต่อเนื่องมาตั้งแต่การเลือกตั้ง ทางส.ว.ถูกโจมตีมาตลอด มีการกระแนะกระแหน ด้อยค่า ก็ไม่เป็นไร เพราะที่มาของเราต้องยอมรับว่าเกิดจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรารู้ว่าสังคมมองอย่างไร แต่เราก็แลกมาด้วยการทำงานให้คุ้มค่า

นพ.เจตน์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ เห็นว่าเรื่องของอำนาจในการเลือกนายกฯ เป็นอำนาจของส.ส. ก็ถูกต้องแล้ว แต่ทางพรรคการเมืองต้องรวบรวมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรให้ได้เกินครึ่ง ส.ว.จึงจะไปเลือกคนที่พรรคการเมืองเสนอรายชื่อ และส.ว.ไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกนายกฯ ที่มาจากพรรคการเมืองเสียงข้างน้อยได้แน่นอน การแก้ไขที่มาของนายกฯ ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งส.ว.มีส่วนร่วมและยอมแก้ไขมาตราดังกล่าวถึง 56 คน ถือว่าไม่น้อย แม้เราต้องการเสียงส.ว. 84 คน ตนคิดว่าเป็นโอกาสดีที่คิดว่าจะผ่าน แต่ไม่แน่ใจในสิ่งที่ส.ส.หลายคนอภิปราย

“หลายคนอภิปรายดี มีหลักการ มีส.ส.หลายคนวิงวอนให้ส.ว.ช่วยเหลือด้วยการลงมติสนับสนุน แต่ส.ส.บางคนโดยเฉพาะที่อายุน้อยๆ อภิปรายเหน็บแนม เสียดสี ด้อยค่าตลอด ผมคิดว่าส.ว.เป็นปุถุชน มีอารมณ์ ท่านอยากให้เราสนับสนุน ท่านต้องพูดดีๆ พูดด้วยหลักการ มีเหตุผล พูดจาวิงวอน ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว เพราะเราไม่มีพรรคการเมืองหนุนหลัง เรารับฟัง คิดตามด้วยเหตุผล และลงมติตามที่คิดว่าจะลงมติ ซึ่งก็เป็นเอกสิทธิ์ของส.ว.แต่ละคน” นพ.เจตน์ กล่าว

ต่อมาเวลา 11.20 น. นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า การที่ส.ว.มีสิทธิ์เลือกนายกฯ เป็นเรื่องสำคัญที่สะท้อนว่าประเทศเป็นประชาธิปไตยจริงหรือไม่ เพราะประชาธิปไตยจริงเป็นอำนาจของประชาชน ไม่ใช่มีอำนาจจากรัฐประหาร ตั้งคนของตัวเอง 250 คน มาช่วยกันเบี่ยงเบนอำนาจของประชาชน ข้ออ้างหลายครั้งที่ได้ฟังคือตอนนี้ยังไม่สงบ ดังนั้นจะต้องเข้ามา ถามว่า ส.ว.250 คน มีส่วนอะไรมารักษาความสงบ และบอกว่ามาจากเสียงประชามตินั้น ขอถามว่าจริงหรือจอมปลอม

นายธีรัจชัย กล่าวว่า ส่วนที่บอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ส.ว.ไม่มีสิทธิ์เสนอชื่อนายกฯ เป็นเพียงแต่ผู้โหวตนั้น ตนเห็นว่าตัวโหวตถือเป็นตัวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทิศทาง เพราะมีเสียงถึง 250 เสียง ถ้าตัดเสียงเหล่านี้ออก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จะได้เป็นนายกฯ ถ้าสมมติพรรคเพื่อไทยที่ได้เสียงข้างมากในสภาฯ ใช้ตัวแทน คือ นายชัชชาติ สิทธิ์พันธุ์ แคนดิเดตนายกฯ แข่งกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้วตัดเสียงส.ว.ออก ถามว่าถ้านายชัชชาติเป็นนายกฯ กับพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ แบบไหนประเทศจะเจริญกว่ากัน

“ที่มีส.ว.บางคนพูดว่าตอนนี้ครบวาระที่เป็นหนี้ เราได้ชำระแล้ว สมควรปล่อย หากเป็นแบบนั้น ผมก็ยินดีด้วย แต่ได้ข่าวว่าจะคว่ำทุกฉบับ เพื่อสนองการสืบทอดอำนาจคสช.ก็คงจริง ส.ว.มีไว้เพื่อขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็น่าจะจริง ที่ผ่านมามีการเสนอแก้รัฐธรรมนูญหลายครั้งถึง 21 ฉบับ ปรากฏว่าถูกคว่ำ 20 ฉบับ และประกาศใช้ 1 ฉบับ

หมายความว่าการแก้ไขการตัดอำนาจส.ว. ในการเลือกนายกฯ จะถูกขัดขวางโดยส.ว.ที่เป็นหนี้บุญคุณคสช. แล้วจะมาวิงวอนพวกผมได้อย่างไร มีศักดิ์ศรีพอหรือ เพราะขัดขวางการพัฒนาประเทศ อ้างสืบทอดอำนาจเพราะประชาชนไม่พร้อม ถามว่ามโนเพื่อต้องการให้ตัวเองอยู่ในอำนาจต่อใช่หรือไม่ ถ้าจะแสดงความจริงใจครั้งนี้ ขอให้โหวตผ่านทั้ง 4 ร่าง และผลักดันให้แล้วเสร็จได้หรือไม่ เพื่อแสดงให้เห็นว่าท่านไม่ได้เป็นหนี้คสช. หนี้ 3 ป. และต้องตอบแทน” นายธีรัจชัย กล่าว