สลด สาวขี่จยย.กลับบ้าน เจอโจ๋ม.4 ฟันแขนขาด เสียชีวิต อ้างแค่แกว่งมีด

Home » สลด สาวขี่จยย.กลับบ้าน เจอโจ๋ม.4 ฟันแขนขาด เสียชีวิต อ้างแค่แกว่งมีด


สลด สาวขี่จยย.กลับบ้าน เจอโจ๋ม.4 ฟันแขนขาด เสียชีวิต อ้างแค่แกว่งมีด

สลด สาวขับจักรยานยนต์กลับบ้าน เจอโจ๋ม.4 ฟันแขนขาด ประคองร่าง 4 กิโลเมตรขอความช่วยเหลือ ก่อนเสียชีวิต ด้าน ตำรวจตามจับทันควัน อ้าง แค่แกว่งมีด

วันที่ 19 มี.ค.2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่สภ.ไพศาลี อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมแก๊งวัยรุ่น รวมกลุ่มไปก่อเหตุใช้อาวุธมีดไปทำร้ายหญิงสาววัยรุ่นจนเสียชีวิต ขณะกำลังขับรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า ทะเบียน ขนง634 สระบุรี พาเพื่อนสาวรุ่นน้องกลับบ้านพัก โดยเหตุเกิดเมื่อช่วงเที่ยงคืนวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา บริเวณใกล้ตู้สายตรวจไดตาล ม.1 ต.โคกเดือ อ.ไพศาลี

สลด สาวขับจักรยานยนต์กลับบ้าน เจอโจ๋ม.4 ฟันแขนขาด ประคองร่าง 4 กิโลเมตรขอความช่วยเหลือ ก่อนเสียชีวิต

สลด สาวขับจักรยานยนต์กลับบ้าน เจอโจ๋ม.4 ฟันแขนขาด ประคองร่าง 4 กิโลเมตรขอความช่วยเหลือ ก่อนเสียชีวิต

สำหรับการจับกุมคดีดังกล่าว พบว่า มีผู้ต้องหาที่ถูกจับได้ทั้งหมด 14 คน เป็นวัยรุ่ยเยาวชนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมปลาย โรงเรียนแห่งหนึ่งของพื้นที่ อ.ท่าตะโก ส่วนผู้เสียชีวิตชื่อ น.ส.สุวนันท์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 22 ปี เสียชีวิตจากการถูกมีดฟันเข้าที่หัวไหล่ข้างขวาจนเกือบขาด และทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตในจุดเกิดเหตุ ขณะนี้ศพของ น.ส.สุวนันท์ ถูกส่งไปไว้ยังวัดหนองปล้องโพช ต.สายลำโพง อ.ท่าตะโก เพื่อทำพิธีรดน้ำ และสวดอภิธรรมศพแล้ว

จากการสอบปากคำของตำรวจมีผู้ต้องหาที่เป็นเยาวชนหลายราย แต่พอจะทราบตัวผู้ก่อเหตุที่ใช้มีดฟันแล้ว คือ นายเปา ซึ่งให้การอ้างว่า ได้ขับรถจักรยานยนต์จากบ้านพักในพื้นที่ อ.ท่าตะโก พร้อมกับกลุ่มเพื่อนที่ถูกจับกุมทั้งหมด ไปเที่ยวงานงิ้วที่ อ.ไพศาลี แล้วในช่วงขากลับบ้าน ได้นำมีดยาวที่พกมาด้วย มาแกว่งโชว์ไปมา ระหว่างที่รถจักรยานยนต์กำลังวิ่งด้วยความเร็ว จึงทำให้แกว่งไปโดน น.ส.สุวนันท์ อย่างแรง ทำให้บาดเจ็บและเสียชีวิตดังกล่าว แต่ตำรวจยังไม่เชื่อคำให้การ

จากการสอบถาม นายมนู พิมพา เจ้าหน้าที่กู้ภัยร่มไทรไพศาลี กล่าวว่า ตอนที่ตนเดินทางถึงจุดเกิดเหตุพบ น.ส.สุวนันท์ กำลังนอนหายใจรวยริน เนื่องจากมีบาดแผลฉกรรณ์จากของมีคม ฟันเข้าที่ไหล่ยาวจนเกือบถึงคอ ซึ่งกู้ภัยพยายามช่วยปั๊มหัวใจปฐมพยาบาลอย่างเต็มที่แล้ว แต่ผู้ตายเสียเลือดมาก จึงไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้

ส่วนการสอบถามเพื่อนสาวของ น.ส.สุวนันท์ ที่มาด้วย ให้การว่า ขณะที่ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ออกจากงานงิ้ว เพื่อพาเขากลับบ้าน ก็ได้ไปเจอกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ในระหว่างทาง แล้วหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที น.ส.สุวนันท์ ที่กำลังขับรถก็ไปโดนของมีคมเข้ามากระทบร่างอย่างแรงจนเลือดโชก ซึ่ง น.ส.สุวนันท์ยังแข็งใจทั้งที่ตัวเองบาดเจ็บหนัก รีบขับรถไปยังป้อมตำรวจจุดสี่แยกไดตาล

เพื่อนของผู้ตาย กล่าวต่อว่า ที่อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 4 กิโลเมตร เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ปรากฏว่า ตอนนั้น ไม่มีตำรวจอยู่ประจำป้อม เนื่องจากไปดูแลความสงบเรียบร้อยในงานงิ้วกันหมด กว่าจะรีบออกจากงานงิ้วมาถึง ก็ช่วยไม่ทันการณ์เสียแล้ว

ด้าน ญาติของกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่งเป็นน้าชายของนายเปา ผู้ก่อเหตุ กล่าวว่า พอรู้เรื่องว่านายเปาถูกจับ เรื่องก่อเหตุใช้อาวุธมีดทำร้ายคนจนตาย ตนก็รีบมาโรงพักทันที เพราะต้องการจะถามว่าไปก่อเหตุอย่างนั้นทำไม ทำไปเพื่ออะไร แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้คุยกับหลาน เนื่องจากยังถูกสอบปากคำ และโดยส่วนตัวมองว่า หลานและกลุ่มเพื่อนน่าจะทำด้วยความคะนอง เนื่องจากหลานและกลุ่มเพื่อนที่ถูกจับทั้งหมด ยังมีอายุเพียง 16-17 ปีเท่านั้น และทั้งหมดยังเรียนอยู่ชั้น ม.4

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดบนเส้นทางถนนสายไพศาลี-ท่าตะโก ซึ่งเป็นเส้นทางที่เกิดเหตุ พบว่า มีกล้องวงจรปิดของอู่ตรวจสภาพรถแห่งหนึ่ง จับภาพไว้ได้ ว่ามีแก๊งรถจักรยานยนต์ลักษณะคล้ายแต่งซิ่ง เนื่องจากแต่ละคัน มีความสูงของรถต่ำกว่ารถจักรยานยนต์แบบปกติ ซึ่งในกล้องจะเห็นว่ามีการจับกลุ่มขับรถวนเวียนไปมาด้วยความเร็ว แต่ก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า เป็นกลุ่มของผู้ก่อเหตุใช้มีดฟัน น.ส.สุวนันท์ หรือไม่

ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่วัดหนองปล้องโพช ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานสวนอภิธรรมศพ น.ส.สุวนันท์ พบว่า ครอบครัว รวมถึงญาติพี่น้อง ต่างพาการเดิมทางมาร่วมพิธีรถน้ำศพด้วยความโศกเศร้าเสียใจ โดยมี นางกัลยา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 47 ปี แม่ของ น.ส.สุวนันท์ เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า รู้สึกช็อกตกใจอย่างมาก หัวใจแทบสลายที่ต้องมาเสียลูกสาวไป เนื่องจากเป็นลูกคนเดียวของตน

“ฉันและลูกสาวคนนี้ อยู่ด้วยกันไม่เคยห่าง และปัจจุบัน ฉันพักอาศัยอยู่กับลูกในพื้นที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา เนื่องจากฉันทำงานอยู่ที่นั่น และลูกสาวก็ช่วยฉันทำงานด้วย แต่เมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา ลูกฉันได้ขอเดินทางกลับมาที่ อ.ท่าตะโก เพื่อจะมาหาเพื่อน ๆ ของเขา เพื่อร่วมเลี้ยงฉลองวันเกิด ซึ่งในวันเกิดเขา ฉันก็เดินทางกลับมาหาเขาด้วยนะ แล้วฉันก็รีบเดินทางกลับเขาใหญ่ไปทำงานก่อน จนกระทั่งเมื่อคืนนี้ มารู้ตอนตี 1 ว่าลูกสาวคนเดียวของฉันถูกฟันจนตาย” แม่ของผู้ตาย กล่าว

นางกัลยา กล่าวต่อว่า ซึ่งตนช็อกแบบล้มทั้งยืน และตอนนี้รู้สึกหัวใจสลายมาก จึงขอให้ทางตำรวจดำเนินคดีกับกลุ่มคนที่มันทำลูกสาวของตนอย่างเด็ดขาดด้วย ตนไม่ให้อภัยอย่างแน่นอน ขอให้ผู้กระทำความผิดตายตามกรรมที่ก่อไว้

ส่วน นางบังออน (ขอสงวนนามสกุล) ป้าของผู้เสียชีวิต กล่าวว่า ได้เข้าไปสอบถามตำรวจถึงสาเหตุที่หลานสาวโดนฟันจนตายแล้ว ตนยิ่งอึ้งหนัก เพราะไม่เชื่อในคำให้การที่อ้างว่า แกว่ง และเขวี้ยงมีดไปกลางถนน จนไปถูกหลานสาวตายด้วยความบังเอิญ ไม่ได้ตั้งใจนั้น มันฟังไม่ขึ้น และญาติทุกคนไม่เชื่อในคำให้การเลย จึงขอให้ตำรวจเจ้าของคดี สอบปากคำอย่างละเอียด

ด้าน น.ส.จ๋า (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี ซึ่งเป็นผู้ซ้อนท้ายผู้ตายแล้วมาประสบเหตุด้วยกัน กล่าวยืนยันว่า ขณะที่ตนซ้อนท้ายรถผู้ตายเพื่อเดินทางกลับบ้าน ปรากฏว่า พบกลุ่มผู้ก่อเหตุกลุ่มใหญ่ ยืนจับกลุ่มกันอยู่ที่ริมทางถนน ประมาณ 20 คน จอดรถจักรยานยนต์เรียงรายอยู่ริมทางเต็มไปหมด และเห็นว่ามีผู้ก่อเหตุคนหนึ่ง เดินถือมีดดาบยาวออกมาจากข้างทางก่อนจะเขวี้ยงใส่เข้ามากระแทกร่างของผู้ตาย

“วินาทีนั้น หนูเห็นกลุ่มพวกมันแต่ไกลแล้ว จึงรีบบอกพี่โบว์ (ผู้ตาย) ให้รีบเร่งรถขี่ไปให้พ้นจุดที่พวกมันอยู่ เพราะหนูกลัวว่าพวกมันจะตามมาทำมิดีมิร้าย แต่เมื่อพี่หนูเร่งเครื่อง ก็พบว่ามีวัยรุ่นคนหนึ่ง รีบปรี่ออกมาจากข้างทาง แล้วเขวี้ยงมีดดาบยาวสวนมาโดนพี่หนูทันที ซึ่งตอนนั้น พี่หนูบอกกันหนูว่าโดน แต่ยังไม่รู้สึกเจ็บอะไร พี่บอกหนูว่ามันชา ๆ แต่หนูก็เห็นว่าไหล่ของพี่เริ่มมีเลือดปลิวออกมา หนูจึงรีบค่อมตัวพี่โบว์ มาขี่รถต่ออีกประมาณ 4 กิโลเมตร เพื่อไปขอความช่วยเหลือที่ป้อมตำรวจ แต่สุดท้าย พี่โบว์ก็สิ้นใจตายที่จุดนั้น” น.ส.จ๋า กล่าว

น.ส.จ๋า กล่าวด้วยว่า กลุ่มคนที่ทำร้ายพี่โบว์ เป็นแก๊งวัยรุ่น ซึ่งถือว่าก๊ากั่นพอสมควร และทราบว่า เพิ่งจะไปก่อเหตุทะเลาะวิวาทจนต้องขึ้นโรงพักเมื่อไม่นานมานี้ด้วย ส่วนสาเหตุที่กลุ่มเขามาเขวี้ยงมีดใส่พี่โบว์นั้น คนที่ทำชื่อเปา อ้างว่ามันก็ไม่รู้สาเหตุ บอกแค่ว่ามันเมาแค่นั้น และหลังจากตนได้ให้ปากคำกับตำรวจเสร็จ ปรากฏว่า ตำรวจก็มาบอกกับตนหลังจากที่สอบปากคำแล้วว่าอย่าไปบอกอะไรกับนักข่าว เพราะมันจะเสียรูปคดี จึงทำให้ตนมองไม่ออกว่า เขาต้องการสื่ออะไร

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ