สิ้นสุดการรอคอยแล้วครับสำหรับการเปิดตัว Apple Event ที่มี Theme งานชื่อว่า California Streaming ในรอบนี้ถือว่าเป็นงานที่หลายคนตั้งตารอคอยอย่างมากเลยทีเดียว คำถามคือ จะมีอะไรเปิดตัวอะไรบ้าง เรามาดูกันดีกว่า
Apple TV+
เริ่มต้นกับความบันเทิงแบบพกพาและอยู่บน Apple TV โดยตจอนนี้มีรายการและหนังต่างๆ อยู่ภายในมากมายและได้รับรางวัลมากมาย โดยมีรายการต่างๆ มากมายและ Series ต่างๆ ในเดือนช่วงปลายเดือนนี้
iPad Generation 9
สำหรับสินค้าตัวแรกที่จะมีการเปิดตัวคือ iPad Generation 9 จะมาพร้อมกับขุมพลัง Apple A13 Bionic ที่มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิมทำให้การทำงานไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเขียนแบบและสามารถแปลภาษาได้ พร้อมอัปเกรดกล้องให้สามารถถ่ายภาพได้ดี โดยด้านหน้าเพิ่มกล้องมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และมุมมอง 122 องศา และมี Center Stage ที่สามารถขยับตามได้ เพราะกล้องมีความกว้าง และสามารถใช้กับ Face Time, Zoom และอื่นๆ รวมไปถึง Tiktok
หน้าจอมีเทคโนโลยี Truetone Display ลดแสดงความสว่างได้ และมาพร้อมกับอุปกรณ์เสริมทั้ง Keyboard และ Apple Pencil 2
มาพร้อมกับ iPad OS 15 ที่ให้สเปกครบทั้ง Quick Note และรวมไปการทำงานแบบ Multi Tasking ที่ทำงานได้ดีและยังรองรับกำลังชาร์จไฟ 20W ผ่าน USB-C ต่อออกจากเครื่องรอบรับ Lightning Port ส่วนราคานั้นเริ่มต้นที่ความจำ 64GB ในรารา 329 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือ ถ้าคิดเป็นเงินบาท ก็อยู่ที่ 10,900 บาท
iPad Mini Generation 6
สิ้นสุดการรอคอยกับ iPad Mini รุ่นใหม่หลังจากโดน แกงมาหลายรอบ ในที่สุดก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการ มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 8.3 นิ้ว และมีขอบเขตสีที่กว้าง เป็นแบบ True tone Display และความสว่างอยู่ที่ 500 nit และยังมาพร้อมกับระบบ Touch ID ด้านบน
ด้านประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิม 2 เท่า ด้วยขุมพลัง Apple A15 Bionic เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม และมี NPU ทำงานได้ดี และยังรองรับช่องเสียบ USB-C สามารถส่งข้อมูลได้เร็ว 10 เท่า และสามารถเสียบได้ไม่ว่าจะเป็นกล้อง หรือ Flash Drive และ รองรับ 5G อีกด้วย
ด้านกล้องของ iPad Mini ก็มีฟีเจอร์ Smart HDR และยังรองรับการถ่ายวิดีโอได้ 4K และกล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และมีฟีเจอร์ Center Stage และลำโพงของเครื่องจะมาพร้อมกับ Stereo ในแบบ การวางแนวนอน แถมยังรองรับ Apple Pencil 2
ส่วนราคาของ iPad Mini เริ่มต้นที่ 499 ดอลล่าร์สหรัฐฯ
Apple Watch Series 7
Apple Watch รุ่นใหม่มาแล้ว จะมาพร้อมกับหน้าจอใหญ่ขึ้นขอบหน้าจอบางลง 40% และมีขอบหน้าจอโค้งและ กนระจกแข็งแรงขึ้น และรองรับจอโค้ง ความสว่างสูงกว่าเดิม 70% และมีฟีเจอร์มากมายเช่น
- การแสดงผล Keyboard แบบเต็มสามารถเลือกขอบแสดงผลเวลาได้
- หน้าปัดทนขึ้นด้วยการติดตั้ง ส่วนที่เป็นคริสตั้น และทนในระดับ IP6X และลงน้ำได้ 50 เมตร
- แบตเตอรี่มีการปรับปรุงให้สามารถใช้งานได้ทั้งวันและสามารถชาร์จไฟได้เร็วขึ้นผ่าน MagSafe
- และมีสีให้เลือกทั้งมากมายโดยมีให้เลือกตั้งแต่อะลูมิเนียมทั้งสีเงิน, ดำ, น้ำเงิน และ แดง Product RED
- และยังมีทั้งเวอร์ชั่น Hermes, Titanium, และอะลูมิเนียม
ส่วนราคาของเครื่องนั้นอยู่ที่ 399 ดอลล่าร์สหรัฐ
นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มรูปแบบการออกกำลังกายใน Apple Fitness+ สามารถแสดงผลเกี่ยวกับการออกกำลังกายบนมือถือเรียกได้ว่าเป็นการยกฟิตเนสมาอยู่ที่มือคุณได้เลย เช่นการเล่นโยคะ, HIIT, รวมไปถึง โปรแกรมออกกำลังกายในฤดูกาลต่างๆ
และยังมีฟีเจอร์ Group Workout ที่รองรับการออกำลังกายแบบกลุ่มได้และแสดงผลได้หลากหลายอุปกรณ์ มีการแต้งเตือนผ่านหูฟังและ Smart Watch และสามารถใช้ฟรี 3 เดือนสำหรับ Apple Watch และ 1 เดือนสำหรับอุปกรณ์อื่นๆ
iPhone 13 Mini / iPhone 13
มาถึง ไฮไลท์สำคัญของ iPhone 13 กันแล้วเริ่มต้นกับ iPhone 13 Mini และ iPhone 13 จะมาพร้อมกับหน้าจอ Ceramic Shield แบบเดิม และมีการเน้นเรื่องอะลูมิเนียมที่สวยงาม มีสีให้เลือกทั้งสีฟ้า, ชมพู, แดง ทอง และ ดำ โดยวัสดุเน้นเรื่องวัสดุรีไซลเคิล
หน้าจอขนาดเท่าเดิม เพิ่มเติมคือความสว่างที่มากกว่าเดิมถึง 28% และที่สำคัญคือติ่งเล็กลงเล็กน้อย จะมาพร้อมกับความสว่างสูงสุด 1200 nits และขุมพลังเป็น Apple A15 Bionic จะมี 6 Core แบ่งเป็น 2 Core ตัวแรงและ 4 Core ที่เป็นแบบเสถียร และเร็วขึ้น 50% เมื่อเทียบกับรุ่นที่แล้ว ส่วน GPU เพิ่มเป็นแบบ Qual Core GPU ให้ประสิทธิภาพแรงขึ้น 30%
โดยความเร็วขนาดนี้สามารถทำงานได้ในการทำงานแบบ realtime, แสดงผล แผนที่แบบ 3D ได้ดีและยังทำประโยชน์อื่นๆได้มากมาย
รวมไปถึงเรื่องกล้องด้วยกัน โดยกล้องด้านหลังคู่ที่เป็นแบบ กล้องหลัง 12 ล้านพิกเซล F1.6 และมีเทคโนโลยีทำให้การถ่ายภาพนิ่งผ่าน Sensor Shift ที่มีทั้ง iPhone 13 และ iPhone 13 Mini ส่วนกล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และมีมาพร้อมกับรูรับแสงได้สว่างมากขึ้น
กล้องวิดีโอจะมาพร้อมกับ Cinematic Mode สามารถถ่ายภาพวิดีโอและเก็บรายละเอียดวิดีโอได้ดี พร้อมกับจัดการโฟกัสได้แม่นยยำและให้สีสันที่ เมื่อมีการจับว่ามีการมองที่กล้องก็จะโฟกัสที่บุคคลได้เลย หรือเราจะ Tab เพื่อโฟกัสและยังรองรับการทำ Auto Tracking AF และยังรองรับการแสดงผล Dolby Vision และกล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซลตัวเดียว
iPhone 13 / iPhone 13 Mini รองรับ 5G ที่ทำงานได้เร็วและสามารถใช้งานได้หลากหลายประเทศทั่วโลกกว่า 200 เครือข่ายและ 60 ประเทศ
ในเรื่องแบตเตอรี่ก็สามารถใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น โดย iPhone 13 Mini สามารถใช้งานได้นานขึ้น 1.5 ชั่วโมง และ iPhone 13 สามารถใช้งานได้นานกว่าเดิม 2.5 ชั่วโมง รองรับ MagSafe และยังมีฟีเจอร์ Smart Data Mode จับเรื่องการใช้งานของเราได้ และมีระบบการป้องกันความเป็นส่วนตัวได้
รายละเอียดของ iPhone 13 Mini
- ขนาดตัวเครื่อง 131.1 x 64.2 x 7.65 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 164 กรัม
- หน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว ใช้หน้าจอ Super Retina XDR (OLED)
- ความละเอียดหน้าจอ : 1170 x 2532 อัตราส่วน 19.5:9 รองรับการแสดงผล HDR10+ Dolby Vision True-Tone และ Wide Color Gamut
- กระจกหน้าจอ : Ceramic Shield
- มาตรฐานการกันน้ำ IP68 กันน้ำได้ลึกสุด 6 เมตร
- ชิปเซ็ต : Apple A15 Bionic | GPU : เป็นของ Apple เองเป็นแบบ 4 Core
- RAM: ไม่ได้ระบุ
- ความจำในตัว :128 / 256 / 512GB
- เพิ่มความจำผ่าน iCloud Storage
- ระบบปฏิบัติการ : iOS 15
- การเชื่อมต่อ WiFi 6 (AX), GPS, 5G, Bluetooth 5.0 NFC และรองรับ Lightning Port
- รองรับ eSIM และ Nano SIM
- ระบบเสียง
- ลำโพง Stereo ทั้งด้านบนและล่าง รองรับ Dolby ATMOS
- กล้องมีหลังประกอบด้วย 2 ตัวด้วยกันประกอบด้วย
- กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง F1.6 มาพร้อมกับ LED Flash รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 24/30/60 FPS, Full HD 30/60/120/240, Timelaspe ทั้งกลางวันและกลางคืน
- กล้องมุมกว้าง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีค่ารูรับแสง F2.4 มุมมอง120 องศา
- กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ ไม่ได้ระบุความจุ แต่รองรับกำลังชาร์จไฟ (18W) รองรับทั้ง ชาร์จไร้สาย (15W)
- ระบบความปลอดภัย สแกนหน้าแบบ Face ID
- สี : ชมพู, น้ำเงิน, ดำ, ทอง และ แดง Product Red
รายละเอียดของ iPhone 13
- ขนาดตัวเครื่อง 146.7 x 71.5 x 7.65 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 135 กรัม
- หน้าจอขนาด 5.4 นิ้ว ใช้หน้าจอ Super Retina XDR (OLED)
- ความละเอียดหน้าจอ : 1080 x 2340 อัตราส่วน 19.5:9 รองรับการแสดงผล HDR10+ Dolby Vision True-Tone และ Wide Color Gamut
- กระจกหน้าจอ : Ceramic Shield
- มาตรฐานการกันน้ำ IP68 กันน้ำได้ลึกสุด 6 เมตร
- ชิปเซ็ต : Apple A15 Bionic | GPU : เป็นของ Apple เองเป็นแบบ 4 Core
- RAM: ไม่ได้ระบุ
- ความจำในตัว 128 / 256 / 512GB
- เพิ่มความจำผ่าน iCloud Storage
- ระบบปฏิบัติการ : iOS 14
- การเชื่อมต่อ WiFi 6 (AX), GPS, 5G, Bluetooth 5.0 NFC และรองรับ Lightning Port
- รองรับ eSIM และ Nano SIM
- ระบบเสียง
- ลำโพง Stereo ทั้งด้านบนและล่าง รองรับ Dolby ATMOS
- กล้องมีหลังประกอบด้วย 2 ตัวด้วยกันประกอบด้วย
- กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง F1.6 มาพร้อมกับ LED Flash รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 24/30/60 FPS, Full HD 30/60/120/240, Timelaspe ทั้งกลางวันและกลางคืน รองรับ Sensor Shift
- กล้องมุมกว้าง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีค่ารูรับแสง F2.4 มุมมอง120 องศา
- กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ ไม่ได้ระบุความจุ แต่รองรับกำลังชาร์จไฟ (18W) รองรับทั้ง ชาร์จไร้สาย (15W)
- ระบบความปลอดภัย สแกนหน้าแบบ Face ID
- สี : ชมพู, น้ำเงิน, ดำ, ทอง และ แดง Product Red
ส่วนราคาเริ่มต้นที่ 499 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ความจำเริ่มต้นที่ 128GB / 256GB / 512GB
iPhone 13 Pro / iPhone 13 Pro Max
และแล้วก็มาถึงรุ่นเรือธงกันแล้วกับ iPhone 13 Pro และ 13 Pro Max ยังมาพร้อมกับของเครื่องแบบสแตนเลสสวยงาม โดยมาพร้อมกับ 4 ทั้ง Sierra Blue, Silver, Graphite Gold ด้านหน้ายังคงมาพร้อมกับ Ceramic Shield
ขุมพลังมาพร้อมกับ Apple A15 Bionic ขุมพลังนั้นเหมือนกับรุ่น iPhone 13 ต่างที่ตัว iPhone 13 Pro จะได้ RAM เยอะกว่า และมีการปรับปรุงหน้าจอแบบ Super Retina XDR มาพร้อมกับเทคโนโลยีความสว่าง 1000 – 1200 nits และมาพร้อมกับหน้าจอแบบ Promotion ที่สามารถปรับค่าแสดงผลได้ระหว่า 10 – 120 Hz โดยอัตโนมัติ ตั้งแต่การเคลื่อนไหวและภาพที่ปรากฏ ทั้งหมดแสดงผล OLED
กล้องของ iPhone 13 Pro / iPhone 13 Pro Max ก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่น กล้อง Telephoto ซูมได้ 3 เท่า, กล้องเลนส์หลักจะมาพร้อมกับความละเอียด 12 ล้านพิกเซล F1.5 จะสามารถถ่ายภาพกลางคืนได้ดีมากขึ้น และ Ultra Wide รองรับ Auto Focus และความสว่างมากขึ้นกว่าเดิม และสามารถถ่ายภาพระยะใกล้ หรือ Macro ได้ ด้วยเลนส์ Ultra Wide
การปรับกล้องนั้นสามารถทำได้ลึกระดับ Skin Tone คือสามารถทำให้ผิวของคนนั้นสว่างหรือมืดได้ด้วย และยังปรับในเรื่องของพื้นหลังแยกต่างหากได้
นอกจากนี้การถ่ายวิดีโอของกล้อง iPhone 13 Pro / iPhone 13 Pro Max เพิ่มระบบการโฟกัสที่ทำงานได้เร็วและยังมีฟีเจอร์ Cinematic Camera สามารถปรับแต่งภาพวิดีโอจากละลายหลังได้ดี แต่ยังไม่หมดครับเพราะมีการรองรับ ProRes Video ทำงานผ่าน A15 Bionic และความละเอียด 4K สามารถทำงานจบในเครื่อง
ส่วนแบตเตอรี่นั้น iPhone 13 Pro / 13 Pro Max จะมีการปรับให้สามารถใช้งานได้ยาวนาน 1.5 ชั่วโมงเมื่อเทียบกับ iPhone 12 Pro และ 2.5 ชั่วโมงเมื่อเทียบกับ iPhone 12 Pro Max
รายละเอียดสเปกของเครื่องมาพร้อมกันดังนี้
รายละเอียดของ iPhone 13 Pro
- ขนาดตัวเครื่อง 146.7 x 71.5 x 7.65 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 203 กรัม
- หน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว ใช้หน้าจอ Super Retina XDR (OLED)
- ความละเอียดหน้าจอ : 1170 x 2532 อัตราส่วน 19.5:9 รองรับการแสดงผล HDR10+ Dolby Vision True-Tone และ Wide Color Gamut พร้อมเทคโนโลยี Pro Motion 120Hz
- กระจกหน้าจอ : Ceramic Shield
- มาตรฐานการกันน้ำ IP68 กันน้ำได้ลึกสุด 6 เมตร
- ชิปเซ็ต : Apple A15 Bionic | GPU : เป็นของ Apple เองเป็นแบบ 4 Core
- RAM: ไม่ได้ระบุ
- ความจำในตัว :128 / 256 /512GB และ 1TB
- เพิ่มความจำผ่าน iCloud Storage
- ระบบปฏิบัติการ : iOS 14
- การเชื่อมต่อ WiFi 6 (AX), GPS, 5G, Bluetooth 5.0 NFC และรองรับ Lightning Port
- รองรับ eSIM และ Nano SIM
- ระบบเสียง
- ลำโพง Stereo ทั้งด้านบนและล่าง รองรับ Dolby ATMOS
- กล้องมีหลังประกอบด้วย 3 ตัวด้วยกันประกอบด้วย
- กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง F1.5 มาพร้อมกับ LED Flash รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 24/30/60 FPS, Full HD 30/60/120/240, Timelaspe ทั้งกลางวันและกลางคืน
- กล้องมุมกว้าง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีค่ารูรับแสง F1.8 มุมมอง120 องศา
- กล้อง Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ซูมได้ 3 เท่าแบบ Optical PDAF พร้อมกับระบบ Sensor Shift
- LiDAR Sensor
- กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ ไม่ได้ระบุความจุ แต่รองรับกำลังชาร์จไฟ (18W) รองรับทั้ง ชาร์จไร้สาย (15W)
- ระบบความปลอดภัย สแกนหน้าแบบ Face ID
- สี : Silver, Graphite, Gold, Sierra Blue
รายละเอียดของ iPhone 13 Pro Max
- ขนาดตัวเครื่อง 160.8 x 78.1 x 7.65 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 238 กรัม
- หน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว ใช้หน้าจอ Super Retina XDR (OLED)
- ความละเอียดหน้าจอ : 1284 x 2778 อัตราส่วน 19.5:9 รองรับการแสดงผล HDR10+ Dolby Vision True-Tone และ Wide Color Gamut พร้อมเทคโนโลยี Promotion 120Hz
- กระจกหน้าจอ : Ceramic Shield
- มาตรฐานการกันน้ำ IP68 กันน้ำได้ลึกสุด 6 เมตร
- ชิปเซ็ต : Apple A15 Bionic | GPU : เป็นของ Apple เองเป็นแบบ 4 Core
- RAM: ไม่ได้ระบุ
- ความจำในตัว :128 / 256 /512GB และ 1TB
- เพิ่มความจำผ่าน iCloud Storage
- ระบบปฏิบัติการ : iOS 14
- การเชื่อมต่อ WiFi 6 (AX), GPS, 5G, Bluetooth 5.0 NFC และรองรับ Lightning Port
- รองรับ eSIM และ Nano SIM
- ระบบเสียง
- ลำโพง Stereo ทั้งด้านบนและล่าง รองรับ Dolby ATMOS
- กล้องมีหลังประกอบด้วย 3 ตัวด้วยกันประกอบด้วย
- กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง F1.5 มาพร้อมกับ LED Flash รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 24/30/60 FPS, Full HD 30/60/120/240, Timelaspe ทั้งกลางวันและกลางคืน
- กล้องมุมกว้าง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีค่ารูรับแสง F1.8 มุมมอง120 องศา
- กล้อง Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ซูมได้ 3 เท่าแบบ Optical PDAF พร้อมกับระบบ Sensor Shift
- LiDAR Sensor
- กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ ไม่ได้ระบุความจุ แต่รองรับกำลังชาร์จไฟ (20W) รองรับทั้ง ชาร์จไร้สาย (15W)
- ระบบความปลอดภัย สแกนหน้าแบบ Face ID
- สี : Silver, Graphite, Gold, Sierra Blue
ส่วนราคาของ iPhone 13 Pro เริ่มต้นที่ 999 ดอลล่าร์สหรัฐ และ iPhone 13 Pro Max อยู่ที่ 1,099 ดอลล่าร์สหรัฐ เริ่มเปิดจองวันศุกร์นี้สำหรับในกลุ่มประเทศแรก ส่วนประเทศไทยรอติดตามกันต่อไป