สรุปดราม่า "ผู้ชายเลี้ยงลูก" ภรรยาเจ้าของเพจติดต่อขอโทษโรงเรียน ขอโอกาสลูกเรียนต่อ

Home » สรุปดราม่า "ผู้ชายเลี้ยงลูก" ภรรยาเจ้าของเพจติดต่อขอโทษโรงเรียน ขอโอกาสลูกเรียนต่อ

สรุปดราม่าเพจดัง “ผู้ชายเลี้ยงลูก” อ้าง รร.ห้ามลูกขี่คอพ่อ ก่อนเจอทัวร์ลงเอง จบที่แม่เด็กขอโทษแทน ขอโอกาสให้ลูกเรียนต่อ

หลังจากกรณีเพจ “Tor Rungrojn ผู้ชายเลี้ยงลูก” ที่มีผู้ติดตาม 3.4 แสนคน ซึ่งเป็นเพจบอกเล่าประสบการณ์ของคุณพ่อในการเลี้ยงลูก ออกมาโพสต์เรื่องความไม่เท่าเทียมกันในโรงเรียน โดยคุณพ่อยกประเด็นว่า ถูกโรงเรียนเรียกไปพูดคุยเรื่องการให้ “ลูกขี่คอ” พร้อมกับระบุว่า ถูกสั่งห้ามไม่ให้ทำลักษณะนี้อีก จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก บางคนก็อยากทราบชื่อโรงเรียน จะได้ไม่ส่งลูกเข้าเรียน พร้อมกับต่อว่าโรงเรียนเสีย ๆ หาย ๆ 

ครูชี้แจงในเพจ ไม่ได้เรียกมาเรื่อง “ขี่คอ”

จากโพสต์ดังกล่าว มีคุณครูเข้าไปคอมเมนต์ชี้แจงว่า ที่ผ่านมาทางโรงเรียนเชิญเจ้าของเพจมา ด้วย 2 สาเหตุ ด้วยกัน คือ

          1. เชิญมาเมื่อมีเรื่องระหว่างเด็กกับเด็ก ซึ่งเมื่อมีผู้ปกครองมาขอเคลียร์ คุณครูก็จะมาช่วยเป็นคนกลาง คอยรับฟังช่วยวิเคราะห์สาเหตุและเสนอทางแก้ปัญหา แต่โรงเรียนไม่สามารถเล่าว่าเป็นเรื่องอะไร เพราะต้องเคารพสิทธิของเด็ก

          2. โรงเรียนจะเชิญผู้ปกครองมาเพื่อมีการอบรมสัมมนาการเลี้ยงลูกตามแนวนีโอฮิวแมนนิส ซึ่งครูเองก็อยู่กับอาจารย์ด้วยตลอดการสัมมนาทุกครั้ง โรงเรียนยังไม่เคยเชิญเจ้าของเพจมาพบด้วยเรื่องการขี่คอแต่อย่างใด

ครูขอถามเจ้าของเพจว่าบทสนทนาที่เจ้าของเพจนํามาโพสต์เกิดขึ้นเมื่อใด การประชุมครั้งไหน และขอถามว่าบทสนทนา เป็นอย่างที่โพสต์จริงหรือไม่ กรุณาให้ความกระจ่างด้วย

โรงเรียนออกหนังสือชี้แจง กระแสตีกลับไปที่เพจดัง

วันที่ 13 มิถุนายน โรงเรียนอมาตยกุล ได้ออกหนังสือชี้แจง ระบุว่า จากโพสต์ดังกล่าว โรงเรียนได้รับคําวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบมากมาย เราไม่เข้าใจว่าเจ้าของเพจเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ใด และเขียนให้ผู้คนเข้าใจโรงเรียนผิดเพื่ออะไร เพียงแค่เริ่มจั่วหัวเรื่องว่า “เหมือนโดนตบหน้าชา…..รอบนี้ผมโดนเรื่องความเท่าเทียม…” พวกเราก็สงสัยและวิ่งถามกันทั่วโรงเรียนแล้วว่า เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ตอนไหน เป็นมาอย่างไร อาจารย์ไปพูดอะไร เราเคยเชิญผู้ปกครองมาพบเรื่องความเท่าเทียมด้วยหรือ ทุกคนตอบว่าไม่มี “ไม่เคย”

ข้อมูลในเพจทําให้สาธารณชนเข้าใจโรงเรียนผิด และเห็นว่าเราเป็นโรงเรียนงี่เง่า เผด็จการ บ้างก็ว่าเราเป็นโรงเรียนคอมมิวนิสต์ เราเชิญผู้ปกครองมาพบด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เราห้ามเรื่องหยุมหยิม ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้วเรื่องราวไม่ได้เป็นเช่นนั้น โรงเรียนขออธิบาย ดังนี้

– กรณีที่คุณพ่อบอกว่า เหมือนโดนตบหน้าชา ขนลุกทุกครั้งที่โทรศัพท์ดัง รอบนี้โดนเรื่องความเท่าเทียม โดนโรงเรียนเรียกไปปรับทัศนคติ เพราะชอบให้ลูกขี่คอ โดนเรียกไปพบผู้บริหารแบบงง ๆ

 ทางโรงเรียนไม่ได้เห็นว่าการขี่คอเป็นเรื่องใหญ่โต เพราะถ้าเราเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่โต เราต้องเชิญมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว เพราะคุณพ่อให้ลูกขี่คอมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาขี่คอตอนนี้ และการที่เจ้าของเพจเขียนทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่า เพราะให้ลูกขี่คอจึงโดนเรียกเข้าพบ ก็ไม่ใช่ความจริง เราเชิญมาด้วยเหตุอื่น ครูกุ้งก็แจ้งเหตุผลที่เชิญมาพบล่วงหน้าชัดเจนแล้วซึ่งไม่ใช่เรื่องขี่คอแน่นอน เมื่อรู้ล่วงหน้าเจ้าของเพจจึงไม่น่าใช่คำว่า “แบบงง ๆ”

– กรณีพ่อบอกว่า ลูกขี่คอผม ไม่ได้ขี่คอคนอื่น แต่ผู้บริหารบอกว่า เรื่องแบบนี้ไม่ปกติ น้องบอลลูนขี่คอคุณพ่อ ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียม ตอนคุณพ่อเป็นเด็ก คุณพ่อก็ขี่คอพ่อแม่ตัวเองเหมือนกัน

โรงเรียนสงสัยว่าบทสนทนานี้เกิดขึ้นตอนไหน และเป็นเรื่องจริงหรือ ? เราขอเล่าถึงการประชุมวันนั้นเท่าที่เล่าได้ อาจารย์เกียรติวรรณ ได้รับฟังปัญหาที่เกี่ยวกับลูกเจ้าของเพจมาหลายรอบ ฟังจากครูบ้าง จากผู้ปกครองโดยตรงบ้าง เพราะมีผู้ปกครองร้องเรียนมาจำนวนมากตลอดระยะเวลา 2 ปี

อาจารย์พยายามบอกเจ้าของเพจว่า เลี้ยงลูกให้ธรรมดาดีไหม อย่าทำอะไรให้เขาพิเศษมากนัก เลี้ยงให้เขาสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ อย่าให้ลูกเอาแต่ใจ จะได้อยู่ร่วมกับคนอื่นได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของอาจารย์ที่จะแนะนำแบบตรงไปตรงมาที่โรงเรียนเราจะแจ้งชัดเจนว่า ครูจะไม่อุ้มถ้าไม่จำเป็น และขอร้องผู้ปกครองมาโดยตลอดว่าให้นักเรียนเดินมาเองกับผู้ปกครอง

โรงเรียนไม่เคยเชิญผู้ปกครองท่านใดมาพบด้วยเรื่องการขี่คอ อาจารย์ไม่ได้พูดถึงความเท่าเทียมหรือพาดพิงถึงบ้านอื่น แต่มุ่งไปที่การเลี้ยงลูกของเจ้าของเพจให้ไม่พิเศษและตามใจลูกมากเกินไป ไม่มีการพูดถึงคุณปู่คุณย่าคุณพ่อคุณแม่ตัวเล็ก ที่ให้ลูกหลานขี่คอไม่ได้

– กรณีพ่อถามว่า ตนทำร้ายเด็กคนอื่นอย่างไร แล้วผู้บริหารบอกว่า น้องบอลลูนขี่คอพ่อ เด็กคนอื่นก็อยากขี่คอพ่อบ้าง แต่ทำไม่ได้

ขอขยายความอีกนิด ในการประชุมวันนั้น มีประเด็นว่าเจ้าของเพจมีผู้ติดตามเยอะ โรงเรียนกลัวหรือไม่จึงไม่ทําอะไร อาจารย์จึงต้องอธิบายว่า เมื่อเข้ามาโรงเรียนนี้แล้วเหมือนกันทุกคน ไม่มีใครพิเศษเพราะฐานะหรือเพราะมีลูกเพจมาก ยกตัวอย่าง เรื่องของยูนิฟอร์มที่เหมือนกันทั้งโรงเรียน ไม่แบ่งแยกว่าเป็นครูหรือเจ้าหน้าที่ ส่วนครูกุ้งพูดว่าเราดูแลเด็ก ๆ ทุกคนเหมือนกัน ตรงนี้ไหมคะ ที่เจ้าของเพจเอาไปเชื่อมโยงถึงเรื่องการขี่คอและความเหมือนกัน (เท่าเทียม)

 ทางโรงเรียนไม่สามารถเล่าได้ว่าตลอดระยะเวลาที่อยู่โรงเรียน มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับเด็กบ้าง เพราะไม่เกิดผลดีกับเด็กเลย เจ้าของเพจสามารถกลับไปอ่านความคิดเห็นของครูในสมุดรายงานเล่มเหลืองได้

ยินดีให้เด็กเรียนต่อ แต่ถ้าไม่พอใจโรงเรียน จะอยู่ด้วยกันทำไม

มุมมองของโรงเรียน มีผู้ปกครองที่หวังดีกับโรงเรียนหลายท่าน เสนอให้โรงเรียนดําเนินการทางกฎหมาย หรือเชิญให้เจ้าของเพจนําลูกไปเรียนที่อื่น ทางโรงเรียนขอแสดงความเห็นและให้ข้อมูล ดังนี้

          1. คุณครูในโรงเรียนจำนวนมากกําลังไม่สบายใจกับข้อความที่ไม่จริงหลายข้อความ ทำให้ครูหมดกำลังใจ

          2. มีความจริงเบื้องลึกอีกหลายเรื่องราวที่ครูอยากพูด แต่เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเด็ก เราจึงพูดไม่ได้

          3. อยากบอกกับผู้ติดตามเพจนี้ว่า ควรพิจารณาดี ๆ ก่อนที่จะเชื่อเรื่องราวในเพจ

          4. ที่ผ่านมามีโพสต์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเรื่องราวในโรงเรียนอยู่บ้าง เมื่อสอบถามรายละเอียดจากครูพบว่า บางครั้งไม่ใช่เรื่องจริง แต่โรงเรียนนิ่งและไม่ได้ทักท้วง

          5. จากเหตุการณ์นี้ เจ้าของเพจสมควรต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบให้ชัดเจน และ ไม่โพสต์อะไรที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนอีก พวกเรามีงานต้องทํา มีความรับผิดชอบที่ต้องดูแลเด็ก ๆ มากพอแล้ว ไม่อยากเสียเวลา

          6. โดยปกติแล้วผู้ปกครองที่รักโรงเรียน จะไม่ทําให้ครูเหนื่อยใจ เหนื่อยสมอง และผู้ปกครองที่รักเรา จะไม่ทําให้เราถูกต่อว่าฟรี

          7. สงสัยว่าถ้าเจ้าของเพจโพสต์ ให้โรงเรียนดูไม่ดีอย่างนี้ แปลว่าไม่ได้พอใจโรงเรียน แล้วจะอยู่ด้วยกันไปทำไม

          8. โรงเรียนยังยินดีให้ศึกษาต่อ ถ้าเจ้าของเพจสัญญาว่าจะไม่ทําให้โรงเรียนเสียหายอีก

เจ้าของเพจ โพสต์ขอโทษ           

ภายหลังคำชี้แจงจากโรงเรียน ทางเพจออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า “ผมขอโทษ และน้อมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว ขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง ตอนนี้สภาพจิตใจผมย่ำแย่มาก ขอปิดเพจ 15 วัน หรือจนกว่าสภาพจิตใจผมจะดีขึ้น”

ภรรยาเจ้าของเพจ ติดต่อขอโทษโรงเรียน

ต่อมา ทางโรงเรียนอัพเดตว่า วันที่ 14 มิถุนายน 2567 ทางโรงเรียนได้รับการติดต่อจากเจ้าของเพจ Tor Rungrojn ผู้ชายเลี้ยงลูก 4 ช่องทาง ได้แก่

  1. ทาง Line ที่มีไว้เพื่อสื่อสารระดับอนุบาล
  2. ทาง Line ของครูประจำชั้น
  3. ทางโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาที่ธุรการ เพื่อขอเข้าพบผู้บริหาร
  4. ทางจดหมายที่ลงชื่อภรรยาเจ้าของเพจ

เนื่องจากการ Post ในวันที่ 12 มิถุนายน 2567 กลายเป็นเรื่องสาธารณะไปแล้ว และทางโรงเรียนก็ออกคำชี้แจงฉบับที่ 1 สู่สาธารณะไปแล้ว เราจึงมีความจำเป็นและความรับผิดชอบของโรงเรียนที่จะต้องแจ้งความคืบหน้าที่ต่อเนื่องจากเรื่องราวให้ทุกฝ่ายรับทราบด้วย ขออนุญาตสรุปเนื้อความและเรื่องราวในจดหมายที่ทางโรงเรียนได้รับในวันนี้ ดังนี้

  • จดหมายที่โรงเรียนได้รับเขียนโดยภรรยาเจ้าของเพจ
  • ภรรยาเจ้าของเพจแจ้งว่าเข้าใจและศรัทธาในแนวคิดและรูปแบบการเรียนการสอนของโรงเรียนมาตลอด
  • ภรรยาเจ้าของเพจขอโทษในการกระทำที่ส่งผลถึงโรงเรียน และเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
  • ภรรยาเจ้าของเพจขอโอกาสให้นักเรียนได้ศึกษาต่อที่โรงเรียนอมาตยกุล และขอน้อมรับความผิดพลาดไว้แต่ผู้เดียว

ทางโรงเรียนขอแจ้งผ่านประกาศฉบับนี้ไปยังเจ้าของเพจ ดังนี้

  1. โรงเรียนรับคำขอโทษไว้ในเบื้องต้น
  2. โรงเรียนขอจัดทำเอกสารข้อตกลงในการศึกษาต่อที่โรงเรียนอมาตยกุล เพื่อที่จะไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีก
  3. เรื่องของการขอเข้าพบ ทางโรงเรียนขอเป็นสัปดาห์หน้านะคะ ขอเวลาให้คณะครูและเจ้าของเพจทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นและวางแผนป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกอย่างละเอียดอีกสัก 4-5 วัน และทางโรงเรียนจะเป็นผู้ติดต่อไป

สุดท้ายนี้โรงเรียนอมาตยกุล ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจและเข้าไปเขียนข้อความให้กำลังใจคณะครูและเจ้าหน้าที่โรงเรียนอมาตยกุล หวังว่าเรื่องนี้จะจบลงด้วยดีและกระทบกับนักเรียนน้อยที่สุดและเป็นบทเรียนให้กับทุกฝ่าย พวกเราขอเวลาทำงานของเราต่อนะคะ

โรงเรียนอมาตยกุล 14 มิถุนายน 2567

เจ้าของเพจโพสต์ “จะจำไว้เป็นบทเรียน”

ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจ “Tor Rungrojn ผู้ชายเลี้ยงลูก” โพสต์ข้อความระบุว่า วันนี้ได้รับโอกาสจาก โรงเรียนอมาตยกุล ให้เข้ารับจดหมายฉบับจริงและรับคำขอโทษจากครอบครัวของเราอีกด้วย ดีใจมากที่สุด ตื้นตันครับ นี่เป็นเหตุการณ์ที่เราคาดไม่ถึง จะจำวันนี้ไว้เป็นบทเรียนครั้งใหญ่ในชีวิตอีกบทหนึ่ง เราสองคนขอโอกาสในฐานะ พ่อ แม่ ปัญหาครั้งนี้ใหญ่มากจริงๆ ครับ เราจะพยายามรวบรวมปัญหาในทุกๆประเด็น ครับ เราสองคนขอโอกาส เพื่อจับมือกันในการปรับปรุง แก้ไขให้ดีขึ้น ขอเวลาให้พวกเราด้วย ครับ

 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ