บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้เริ่มต้นใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 17 มี.ค. ที่ผ่านมา หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คือคนแรกของไทยที่เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งได้รับการรับรองว่าสามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคโควิด-19 ในผู้มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า ได้รับการยืนยันว่ามีความปลอดภัยและสามารถป้องกันอาการป่วยจากโรคโควิด-19 เมื่อเว้นระยะเวลาในการให้วัคซีนเข็มแรกและเข็มที่สองห่างกันตั้งแต่ 4-12 สัปดาห์ โดยสามารถป้องกันอาการติดเชื้ออย่างรุนแรงหรืออาการป่วยในระดับที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ตั้งแต่ 22 วันหลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรก
นอกจากนั้น ยังได้รับการยืนยันว่าผู้รับวัคซีนมีความสามารถในการทนต่อผลข้างเคียงได้ดีและมีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการป่วยจากโรคโควิด-19 โดยหลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรกไปแล้ว 22 วัน มีประสิทธิผล 76% ยาวนานอย่างน้อย 90 วัน และมีประสิทธิผลสูงขึ้นตามการเว้นระยะเวลาระหว่างการฉีดวัคซีนเข็มแรกและเข็มที่สอง โดยมีประสิทธิผลสูงถึง 81.3% เมื่อเว้นระยะเวลาระหว่างการฉีดวัคซีนเข็มแรกและเข็มที่สองประมาณ 12 สัปดาห์ขึ้นไป
ผลการทดลองทางคลินิกยืนยันว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าสามารถป้องกันอาการติดเชื้อรุนแรง อาการป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ 100% หลังได้รับวัคซีนเข็มแรกไปแล้ว 22 วัน ผลการศึกษาล่าสุดในสหราชอาณาจักรยังพบว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้ามีประสิทธิภาพในการลดอัตราเสี่ยงต่ออาการป่วยในระดับที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอันสืบเนื่องมาจากเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคโควิด-19 ได้มากถึง 80% หลังจากการฉีดเข็มแรก สำหรับกลุ่มผู้ที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไป
นายเจมส์ ทีก ประธาน บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าเข็มแรกในประเทศไทย ถือเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แอสตร้าเซนเนก้ามุ่งมั่นที่จะเดินหน้าผลิตและจัดสรรวัคซีนให้ทั่วถึงและครอบคลุมประเทศต่างๆ มากที่สุด เพื่อดูแลรักษาชีวิตของผู้คน บรรเทาภาระและเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านสาธารณสุข รวมถึงลดอัตราการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส ด้วยความร่วมมือทั้งในระดับท้องถิ่นและระหว่างประเทศ นี่คือก้าวสำคัญในการเอาชนะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ให้ได้โดยรวดเร็วที่สุด”
วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าสามารถจัดเก็บและขนส่งได้ที่อุณหภูมิแช่เย็นทั่วไป (2-8 องศาเซลเซียส หรือ 36-46 องศาฟาเรนไฮต์) เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน และสามารถฉีดให้กับผู้ป่วยได้ด้วยเครื่องมือที่มีใช้อยู่เดิมในระบบสาธารณสุข โดยวัคซีนดังกล่าวผลิตโดยห่วงโซ่อุปทานของแอสตร้าเซนเนก้าที่มีอยู่ทั่วโลก
วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า หรือ เดิมเรียก AZD1222 ถูกคิดค้นและพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและบริษัท วัคซีเทค ซึ่งก่อตั้งโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด วัคซีนดังกล่าวพัฒนาโดยการนำส่วนของสารพันธุกรรมที่ใช้ในการถอดรหัสการสร้างหนามโปรตีนผิวเซลล์ของไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 ใส่ในโครงของอะดีโนไวรัสซึ่งก่อให้เกิดโรคไข้หวัดทั่วไปในลิงชิมแปนซีที่ถูกทำให้อ่อนแรงลงและไม่สามารถแบ่งตัวได้ โดยหลังจากฉีดวัคซีนเซลส์ในร่างกายมนุษย์จะตอบสนองโดยการสร้างโปรตีนที่มีลักษณะเดียวกันกับหนามโปรตีนผิวเซลล์ของไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ในกรณีที่ได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายในภายหลัง
นอกเหนือจากการวิจัยนำโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดแล้ว แอสตร้าเซนเนก้ายังได้ทำการวิจัยขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและแอสตร้าเซนเนก้าตั้งเป้าดึงอาสาสมัครจากทั่วโลกให้เข้าร่วมการวิจัยมากกว่า 60,000 ราย
วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าได้รับอนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินใน 70 กว่าประเทศใน 6 ทวีปทั่วโลกแล้ว และการขึ้นทะเบียนสำหรับการใช้ในกรณีฉุกเฉินโดยองค์การอนามัยโลกในครั้งนี้จะช่วยเร่งการเข้าถึงวัคซีนได้ถึง 142 ประเทศผ่านกลไกการจัดซื้อและจัดสรรวัคซีนของโครงการโคแวกซ์