สมรภูมิโซเลดาร์เดือดฝ่าหนาวติดลบ โลกระทึกทัพยูเครนตรึงแนวสู้ไม่ถอย
สมรภูมิโซเลดาร์เดือดฝ่าหนาวติดลบ – วันที่ 11 ม.ค. รอยเตอร์รายงานความคืบหน้าสงครามในประเทศยูเครน ว่าการสู้รบที่สมรภูมิเขตโซเลดาร์ เมืองบักมุต แคว้นโดเนตสก์ ยังคงดำเนินไปอย่างดุเดือด ยังไม่มีฝ่ายใดได้ชัยชนะเด็ดขาดท่ามกลางสภาพอากาศสุดหนาวเหน็บติดลบ
การสู้รบดุเดือดเกิดขึ้นหลัง “แวกเนอร์” กลุ่มทหารรับจ้างของรัสเซีย อ้างว่าสามารถเข้ายึดครองเหมืองเกลือใหญ่ที่สุดของทวีปยุโรป ขัดแย้งกันกับทางการยูเครนที่ยืนยันว่ากองทัพยูเครนยังคงต้านทานอยู่บริเวณพื้นที่ใจกลาง แม้จะถูกถล่มจากปืนใหญ่อย่างหนักหน่วงและมีคลื่นทหารบุกโจมตีเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า โดยย้ำว่ารัสเซียยังไม่สามารถยึดโซเลดาร์ได้ตามที่แวกเนอร์อ้าง
การเปิดฉากโจมตีของกลุ่มแวกเนอร์ที่มีความใกล้ชิดกับทางการรัสเซียเกิดขึ้นแม้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย จะประกาศหยุดยิงฝ่ายเดียว โดยใช้ข้ออ้างว่าเป็นเทศกาลคริสต์มาสของคริสตจักรนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ แต่ทางการยูเครนไม่ได้เข้าร่วม
กระทรวงกลาโหมอังกฤษ ระบุว่า กลุ่มทหารรับจ้างแวกเนอร์น่าจะสามารถยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของเขตโซเลดาร์ได้แล้วหลังการสู้รบยาวนาน 4 วัน แต่การออกมาเปิดเผยของทางการยูเครนนั้นสะท้อนว่ากองทัพยูเครนยังสามารถต้านทานไว้ได้บริเวณพื้นที่ใจกลาง ขณะที่สถานีข่าวท้องถิ่นในรัสเซีย ระบุว่า ทางการรัสเซียเตรียมเปิดเผยจำนวนเชลยศึกที่จับกุมได้ในโซเลดาร์
ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กล่าวว่า ฝ่ายรัสเซียกำลังรวมกำลังใหม่และยกระดับการรุกรานยูเครน พร้อมเรียกร้องให้บรรดาชาติตะวันตกส่งยุทโธปกรณ์มาเพิ่มเติมอีก
ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า ชัยชนะในเขตโซเลดาร์ของฝ่ายรัสเซียนั้นมีความสำคัญทางสัญลักษณ์อย่างมากต่อกองทัพรัสเซียเพราะจะช่วยฟื้นฟูขวัญกำลังใจให้กับทหารรัสเซียและเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของประธานาธิบดีปูตินในการโน้มน้าวชาวรัสเซียให้หันมาสนับสนุนการระดมพล ทว่า สถานการณ์ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้เนื่องจากยังไม่มีฝ่ายใดมีชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ทั้งนี้ การยกระดับการโจมตีของกองทัพรัสเซียส่งผลให้ยูเครนเผชิญกับการเปิดเกมรุกอย่างดุเดือดในหลายแนวรบของรัสเซีย แต่กองทัพยูเครนยังสามารถตรึงแนวไว้ได้ในพื้นที่ 13 แห่งของแคว้นลูฮานสก์ คาร์คีฟ และโดเนตสก์ ส่วนทางการรัสเซียนั้นระบุว่า การยึดครองเขตโซเลดาร์ เมืองบักมุตได้นั้นจะปูทางไปสู่การยึดครองแคว้นโดเนตสก์จากยูเครนได้อย่างเด็ดขาด