กระทรวงสาธารณสุข เสนอ ศบค. ออก 5 มาตรการคุมโควิดเข้มขึ้น มีทั้งให้ล็อกดาวน์ 14 วัน ปลดล็อกให้สถานพยาบาลใช้ rapid test ในการตรวจคัดกรองผู้ป่วย และเร่งฉีดวัคซีนให้ผู้สูงอายุ-ป่วยเรื้อรัง
วันนี้ (8 ก.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ผ่านมา นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวพร้อมผู้บริหารกระทรวง ถึงมาตรการควบคุมการระบาดของโควิดที่จะเสนอให้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) พิจารณา
ทั้งนี้ สิ่งแรกคือ การนำเอาชุดตรวจวัดแบบ Rapid Antigen Test มาใช้งาน เพื่อลดปัญหาการเกิดคอขวดจากการตรวจด้วยวิธี RT-PCR ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยในช่วงแรกจะอนุญาตให้ใช้ในสถานพยาบาลเป็นหลักก่อน และในระยะต่อไปจะอนุญาตให้นำไปใช้ในกลุ่มประชาชนทั่วไปแบบ Home Use ในระยะถัดไปเร็วๆ นี้
ประเด็นต่อมาคือ การจัดการระบบกักตัวดูอาการที่บ้าน หรือ Home Isolation สำหรับผู้ป่วยโควิดที่มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการ ซึ่งรวมไปถึงการจัดตั้งระบบ Community Isolation ในชุมชน เพื่อลดปัญหาความแออัดและไม่เพียงพอของเตียงในสถานพยาบาลต่างๆ
มาตรการต่อมาคือ การเข้มงวดในมาตรการด้านสาธารณสุข DMHTTA
มาตรการที่ 4 คือ แผนการฉีดวัคซีน ที่จะต้องเร่งฉีดให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้ที่เป็น 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง โดยจะให้โควตาวัคซีนในกลุ่มนี้ไม่ต่ำกว่า 80% ของปริมาณวัคซีนที่มี ซึ่งใน 1-2 สัปดาห์หน้าจะระดมฉีดให้ได้เป็นหลักล้านโดสในกลุ่มนี้
มาตรการที่ 5 คือ จะเสนอยกระดับมาตรการทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมการเดินทางหรือล็อกดาวน์ โดยจะกำหนดเงื่อนไขยกเว้นที่จำเป็น อาทิ การหาซื้ออาหารหรือสิ่งของจำเป็นในการดำรงชีวิต การออกไปฉีดวัคซีน เป็นต้น รวมทั้งจะมีการออกคำสั่งปิดสถานที่เสี่ยงต่างๆ
อย่างไรก็ตาม มาตรการทั้ง 5 ดังกล่าว จะเสนอให้บังคับใช้ในจังหวัดที่เป็นพื้นที่เสี่ยงและพื้นที่กันชน เป็นระยะเวลา 14 วัน แต่จะเริ่มเมื่อใดต้องรอให้ ศบค. เป็นผู้ประกาศอย่างเป็นทางการ