สธ.ตั้ง คกก.สอบข้อเท็จจริง รองนพ.สสจ.โคราช ปมเกี่ยวข้องทุจริตอบรมทิพย์ แล้วเสร็จใน 10 วัน ชี้สร้างความเสียหาย ส่วนโยงถึงใครอีกต้องรอผลสอบ ย้ำหากผิดจริงดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องทุกราย
16 มี.ค. 66 – นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีหน่วยงานปราบปรามทุจริต ทั้ง ป.ป.ท., ป.ป.ง. ตรวจค้นบ้าน นพ.สันติ ทวยมีฤทธิ์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) นครราชสีมา ฝ่ายวิชาการ
กรณีโครงการจัดอบรมทิพย์เจ้าหน้าที่สาธารณสุข 29 อำเภอใน จ.นครราชสีมา โดยไม่มีการอบรมจริง แต่กลับเบิกจ่ายค่าเช่าที่ ค่าอาหาร และเบี้ยเลี้ยง แถม นำชื่อคนตายมาเบิกเงิน แต่ละโครงการที่จัดอบรมเท็จ ทำรัฐสูญงบฯกว่า 4 ล้านบาท ก่อนยึดทรัพย์สินตรวจสอบที่มากว่า 30 รายการ ว่า
เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2561 ได้มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการ สธ.เขตสุขภาพที่ 9 ดำเนินการสอบสวน เพียงแต่แนะนำว่า ควรขอสำนวน หลักฐาน พร้อมข้อหาที่ทาง ป.ป.ท. แจ้งมา เพื่อมาใช้ประกอบและดำเนินการสอบสวนอย่างเหมาะสม หากจำเป็นต้องโยกย้ายหรืออย่างไร ก็ให้ดำเนินการอย่างเหมาะสมเช่นกัน
ด้าน นพ.ภูวเดช สุระโคตร ผู้ตรวจราชการ สธ. เขตสุขภาพที่ 9 กล่าวว่า ขณะนี้ตนได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีที่เกิดขึ้นกับ นพ.สันติ แล้ว โดยมีผู้เชี่ยวชาญระดับ สสจ.เป็นกรรมการ กำหนดสอบข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุดภายใน 10 วัน
เนื่องจากเป็นเรื่องไม่ชอบมาพากล ซึ่งสร้างความเสียอย่างมากให้กับแวดวงสาธารณสุข ส่วนการกระทำของนายสันติ จะเกี่ยวโยงไปถึงใครระดับไหนด้วยหรือไม่ คงต้องรอผลการสอบข้อเท็จจริงก่อนว่าเป็นอย่างไร หากมีการเชื่อมโยงถึงใครอีก ก็จะต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับผู้เกี่ยวข้องทุกราย ทั้งนี้ ได้รายงานเรื่องให้ ปลัด สธ.รับทราบแล้ว
นพ.ภูวเดช กล่าวว่า เรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการทางคดีของหน่วยงานด้านการปราบปรามทุจริตแล้ว ดังนั้น ในทางคดีจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับ สธ. ผู้ต้องสงสัยต้องชี้แจงพิสูจน์ตนเองภายใต้กระบวนการยุติธรรม ส่วนการดำเนินการทางวินัยข้าราชการ ซึ่ง สธ.เป็นหน่วยราชการต้นสังกัดนั้น เบื้องต้น นพ.สสจ.นครราชสีมาได้รายงานข้อมูลมายังปลัด สธ.แล้ว และจะต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาทางวินัยก่อนจึงจะสรุปได้ว่า มีความผิดทางวินัยราชการหรือไม่
โดยเริ่มจากการแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง หากพบว่ามีมูลตามข้อกล่าวหา จะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยต่อไป ซึ่งการพิจารณาส่วนหนึ่งจะใช้ข้อมูลจากการสืบสวนของตำรวจและเจ้าหน้าที่ ปปท.ด้วย เมื่อได้ผลสรุปแล้ว คณะกรรมการจะรายงานต่อปลัด สธ. โดยโทษทางวินัยราชการจะมี 2 ระดับ คือ โทษวินัยไม่ร้ายแรง คือ ภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน ลดขั้นเงินเดือน และโทษวินัยร้ายแรง คือ การปลดออกและไล่ออก
ระหว่างที่ตรวจสอบอาจมีคำสั่งไม่ให้ปฏิบัติงานที่มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เพื่อประโยชน์ในการสืบสวน รวมถึงอาจให้มีการตรวจสอบโครงการจัดอบรมในพื้นที่ย้อนหลัง ส่วนโครงการปัจจุบันให้ดำเนินการอย่างรัดกุมไม่ให้ผิดหรือละเมิดระเบียบ
ยืนยันว่า สธ.ให้ความสำคัญกับการป้องกันและป้องปรามการทุจริต ตรวจสอบการดำเนินการต่างๆ ให้เป็นไปตามระเบียบ หากมีความผิด มีโทษทางราชการ จะเสนอเข้าสู่กระบวนการของ อ.ก.พ.สธ. ตัดสินเอาผิดทางวินัยต่อไป
ทั้งนี้ ขอย้ำให้ข้าราชการและบุคลากร สธ.ทุกคน ทุกตำแหน่ง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง ยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ