สกู๊ปข่าวสดเลือกตั้ง : จับตาบทบาท‘กกต.’ ในสมรภูมิเลือกตั้ง66

Home » สกู๊ปข่าวสดเลือกตั้ง : จับตาบทบาท‘กกต.’ ในสมรภูมิเลือกตั้ง66


สกู๊ปข่าวสดเลือกตั้ง : จับตาบทบาท‘กกต.’ ในสมรภูมิเลือกตั้ง66

เป็นหน่วยงานที่สังคมจับตา และให้ความสนใจมากที่สุด สำหรับคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นองค์กรที่จะมีบทบาทสำคัญในการเลือกตั้งทั่วไป 14 พ.ค.2566

ยิ่งเข้าสู่โค้งสุดท้าย มีการปล่อยอาวุธจากพรรคการเมือง ทั้งบนดินและใต้ดิน อย่างรุนแรง

ไม่ว่าจะเป็นนโยบายต่างๆ ที่สุ่มเสี่ยงเข้าข่ายสัญญาว่าจะให้ การแอบอ้างสถาบันเพื่อให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยม ยังไม่รวมกับการทุจริตซื้อเสียง ในรูปแบบเดิม และรูปแบบใหม่

จึงกลายเป็นความคาดหวังที่ กกต.จะต้องรู้เท่าทัน และมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการปัญหาเหล่านี้

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการทำงานเชิงรุก การประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งการอำนวยความสะดวก ไม่ให้เกิดการลงคะแนนที่สับสน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบัตรเลือกตั้ง การแบ่งเขตต่างๆ ตลอดจนการรายงานผลที่รวดเร็วฉับไว โปร่งใส

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นภารกิจสำคัญที่ กกต. จะต้องดำเนินการอย่างครบถ้วนรอบด้าน เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม

สะท้อนเจตจำนงของประชาชนอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการบิดเบือน

โดยเฉพาะการที่ กกต.ได้รับงบจัดการเลือกตั้งครั้งนี้สูงถึง 5,945,161,000 บาท มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ย่อมทำให้ความคาดหวังเพิ่มสูงขึ้น

น่าเสียดายที่แนวทางปฏิบัติที่ผ่านมาของ กกต. ยังไม่ได้สร้างความมั่นใจให้กับสังคมเท่าใดนัก

จึงเป็นเรื่องที่ กกต.จะต้องเร่งแสดงผลงานในช่วง 20 วันที่เหลือ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ได้!!!

สำหรับกกต. ชุดนี้แม้รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีทั้งหมด 7 คน แต่นายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย ที่อายุครบ 70 ปี ต้องพ้นจากตำแหน่งทำให้เหลือ กกต. ที่ทำหน้าที่อยู่ 6 คน ประกอบด้วย นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต. นายปกรณ์ มหรรณพ นายฐิติเชฏฐ์นุชนาฏ นายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ นายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี และนายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ

ซึ่งทั้ง 6 ก็ไม่ใช่มือใหม่ แต่ฝากฝีไม้ลายมือไว้แล้วในการจัดการเลือกตั้งทั่วไปปี 2562
การเลือกตั้งที่มีทั้งปรากฏการณ์บัตรเขย่ง คะแนนปัดเศษ รวมทั้งสูตรคำนวณส.ส.แบบพิสดาร ที่ทำให้หลายฝ่ายต้องตกตะลึง เหล่านี้ล้วนยังอยู่ในความทรงจำของประชาชน

มาครั้งนี้ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมา หลายฝ่ายตั้งความหวังว่าการจัดการเลือกตั้งน่าจะลุล่วงด้วยดี แต่ก็ไม่ได้เป็นไปตามคาดหมายนัก เมื่อเจออุปสรรคแรกตั้งแต่เรื่องการคำนวณจำนวนราษฎร ที่ใช้เป็นฐานในการแบ่งเขตเลือกตั้ง เนื่องจากไปนับรวมบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทยเข้าไปด้วย

จนถูกตั้งคำถามว่าส่งผลให้หลายจังหวัดมีส.ส.ไม่สอดคล้องกับจำนวนประชากรที่แท้จริง

ตอนแรก กกต.ยืนยันว่าทำถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก็ถูกกระแสต่อต้านทั้งจากพรรคการเมือง และนักวิชาการ ที่อธิบายหลักการของกฎหมายว่าราษฎร ในความหมายของการคำนวณส.ส.พึงมีนั้น หมายถึงพลเมืองที่เป็นคนไทย ไม่ใช่หมายถึงประชากร และต้องแยกให้ออกระหว่างความหมายของพลเมือง ประชากร และผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง
ในที่สุด กกต.ก็ใส่เกียร์ถอย ด้วยการยอมส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตีความ ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยออกมาด้วยมติเอกฉันท์ว่า การกำหนดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ที่แต่ละจังหวัดพึงมีนั้น คำว่า ‘ราษฎร’ ไม่ได้หมายความรวมถึงผู้ไม่ได้สัญชาติไทย

ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจำนวนส.ส.ใน 8 จังหวัด

ต่อมาก็เกิดปัญหาขึ้นอีก สำหรับการแบ่งเขตเลือกตั้ง แต่ละจังหวัด ที่กกต. ยึดหลักว่าใช้จำนวนประชากรโดยเฉลี่ย 162,766 คน ต่อจำนวนส.ส. 1 คน แม้หลักการจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ในทางปฏิบัติกลับมีเสียงสะท้อนในลักษณะไม่เห็นด้วย

พรรคเพื่อไทย ก็ออกแถลงคัดค้านการแบ่งเขตเลือกตั้งดังกล่าว ระบุ เป็นการแบ่งเขตเลือกตั้งที่ไม่ยุติธรรม มีการเปลี่ยนแปลงเส้นเขตเลือกตั้งเอื้อประโยชน์ให้พรรคการเมืองหนึ่ง

พร้อมอ้างถึงมาตรา 27 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ที่กำหนดให้รวมอำเภอต่างๆ เป็นเขตเลือกตั้ง และแบ่งเขตเลือกตั้งตามสภาพของชุมชนที่ราษฎรมีการติดต่อกันเป็นประจำ ในลักษณะชุมชนเดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน เป็นหลักในการแบ่งเขต

แต่การแบ่งเขตเลือกตั้งครั้งนี้ หลายเขตเลือกตั้งเป็นการรวมแขวงเข้าด้วยกัน ไม่ได้เป็นเขตการปกครอง และมีการนำเรื่องดังกล่าวยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ซึ่งศาลปกครองสูงสุดพิพากษายกฟ้อง ระบุเป็นอำนาจของ กกต. ต้องยึดตามแนวที่กกต.แบ่งเขตเอาไว้แต่แรก

อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ยังมีความเห็นต่างกันอยู่

เรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ต่อมาก็คือเรื่องของบัตรเลือกตั้ง ซึ่งแน่นอนว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีส.ส. 2 ประเภท คือแบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อ
ซึ่งแบบแบ่งเขต กำหนดให้ใช้หมายเลขไม่ซ้ำกันในแต่ละเขต ทำให้เกิดข้อกังวลจะเกิดความสับสนของผู้ใช้สิทธิ์ โดยเฉพาะจังหวัดที่มีส.ส.มาก มีการแบ่งเขตที่สับสนอย่างใน กทม.

จึงมีการเรียกร้องให้ กกต.ออกแบบบัตรเลือกตั้งที่จะมาแก้ปัญหา นั่นคือในส่วนบัตรเลือกตั้งแบบเขต ควรมีชื่อผู้สมัคร หรืออย่างน้อยก็ควรมีโลโก้พรรคการเมือง ซึ่งกกต.ก็ได้ออกตัวอย่างบัตรเลือกตั้งมาแล้ว

แบบบัญชีรายชื่อเป็นบัตรสีเขียว และไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเพราะมีทั้งโลโก้ และชื่อพรรคชัดเจน

แต่ที่จะเป็นปัญหาคือบัตรสีม่วง ที่ใช้ในการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต ซึ่งเรียกว่าเป็นบัตรโหล มีเพียงหมายเลขผู้สมัคร แต่ไม่มีชื่อผู้สมัคร ไม่มีโลโก้พรรค

ในขณะที่แต่ละเขตเลือกตั้ง หมายเลขผู้สมัครก็ไม่เหมือนกัน จนสงสัยว่าหากไม่ใช่กรณีบัตรปลอม ตามที่ กกต.ยืนยันมีรหัสลับ 3 ชั้น แต่กลายเป็นบัตรผีจะทำให้คะแนนเปลี่ยนแปลงหรือไม่

ซึ่ง กกต.ก็แก้ปัญหาความสับสนด้วยการติดป้ายไวนิลประชาสัมพันธ์ผู้สมัครในหน่วยเลือกตั้งแทน

อีกเรื่องที่กลายเป็นปัญหา คือการลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าที่กำหนดให้เป็นวันที่ 7 พ.ค. โดย กกต.เปิดให้ลงทะเบียนระหว่างวันที่ 25 มี.ค. ถึง 9 เม.ย. แต่ปรากฏว่าปัญหาเกิดขึ้นในการลงทะเบียนวันสุดท้าย คือวันที่ 9 เม.ย. ได้เกิดเหตุการณ์ ‘เว็บล่ม’ เนื่องจากมีผู้เข้าใช้งานจำนวนมาก แต่ก็ไม่มีแนวทางแก้ไขใดๆ จาก กกต. จนเกิดการตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีประชาชนจำนวนหนึ่งต้องเสียสิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้า

หนำซ้ำยังตามด้วยดราม่า เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าว ที่ กกต.ควรจะอยู่ประจำการเพื่อดูแลแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างทันท่วงที กลับพบว่า กกต.ทั้ง 6 ทุกคนอยู่ระหว่างเดินทางไปดูงานต่างประเทศ

โดย กกต.ทั้ง 6 ทยอยเดินทางไปดูงานเตรียมการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย. โดย นายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ และ นายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี เดินทางไปประเทศฮังการีและสโลวะเกีย

นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. เดินทางไปประเทศในแอฟริกา นายปกรณ์ มหรรณพ เดินทางไปประเทศเยอรมันและสวิตเซอร์แลนด์ นายฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ เดินทางไปสหรัฐอเมริกา และ นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ เดินทางไปนิวซีแลนด์และออสเตรเลีย

ขณะที่เมื่อเปิดตัวเลขผู้ลงทะเบียนเลือกตั้ง นอกราชอาณาจักร มีจำนวนทั้งสิ้น 115,139 คน

จึงไม่แปลกที่จะถูกตั้งคำถามว่าได้ทำหน้าที่อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ และคุ้มค่าเพียงใด

ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีเรื่องของการประชาสัมพันธ์ การอำนวยความสะดวก และความเชื่อมั่นในการนับคะแนน และรายงานผลที่เที่ยงตรง ฉับไว ที่ยังเป็นประเด็นที่สังคมตั้งคำถามว่าสามารถทำให้ดีกว่านี้ได้หรือไม่

ขณะที่กกต.ทั้ง 6 ที่ควรทำงานเชิงรุก กลับนิ่งเงียบ แล้วปล่อยให้สำนักงาน โดยเฉพาะเลขาฯ กกต. ออกมาชี้แจงข่าวสารแต่เพียงฝ่ายเดียว ย่อมทำให้ถูกสงสัยในเรื่องของการบริหารจัดการ และความรู้ความสามารถเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้งว่ามีมากน้อยเพียงใด

และเมื่องบประมาณที่ใช้ในการจัดเลือกตั้งครั้งนี้มากเกือบ 6 พันล้านบาท ย่อมเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมคาดหวังว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีกว่านี้ มากกว่าให้ข้าราชการทำงานแบบผ่านไปวันๆ

เพราะหากเป็นเช่นนั้น ให้กระทรวงมหาดไทย จัดการเลือกตั้งเหมือนเดิมก็ไม่มีอะไรแตกต่าง

อย่างไรก็ตาม ยังเหลือเวลาอีก 20 วันก่อนถึงวันเลือกตั้ง และหลังจากนั้นอีกอย่างน้อย 3 เดือนในการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ที่กกต.จะเอาจริงเอาจังในการทำหน้าที่ เพื่อกอบกู้ศรัทธาจากประชาชนกลับคืนมา

ส่วนจะทำได้มากน้อยแค่ไหน หรือแย่หนักลงไปกว่าเดิม ผลงานและเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ