ศาลจำคุก 1 ปี ‘ป้าเป้า’ พวกรวม 7 คน คดีชุมนุม 11 สิงหาไล่ทรราช ผิดชุมนุมแพร่เชื้อโควิด คนละ 1 ปี ปรับเงินคนละ 20,000 บาท แต่ให้รอลงอาญา 3 ปี ทำงานบริการสังคม 24 ชั่วโมง
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 2 ส.ค.65 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีม็อบ 11 สิงหา ไล่ล่าทรราช หมายเลขดำ อ.2693/2564 ที่พนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ฟ้องนางวรวรรณ หรือป้าเป้า แซ่อั้ง อายุ 67 ปี กับพวกรวม 8 คน ประกอบด้วย นายนพดล สินบุญเชิญ นายธนา กำพูล นายเอกณัฏฐ์ สมบัติ ยิ่งวัฒนา นายวีรวัฒน์ คำภีร์ทูล (หนีประกัน) นายกฤษณะ มินา นายปภังกร โพธิ์เจริญ และนายกัณฐกะ พรมโต ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-8
ในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายฯ โดยผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธฯ,ร่วมกันต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายฯโดยมีหรือใช้อาวุธและโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป,ร่วมกันจัดกิจกรรมรวมกลุ่มของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่าห้าคนฯ,ร่วมกันชุมนุมหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดเชื้อโรคโควิด 19
โดยอัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดจำเลยสรุปว่า เมื่อวันที่ 11 ส.ค.2564 จำเลยทั้งแปดกับกลุ่มผู้ร่วมชุมนุมประมาณ 200 คนร่วมจัดกิจกรรม “11 สิงหา ไล่ล่าทรราช” เพื่อกดดันให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลาออก ซึ่งมีผู้ร่วมชุมนุม รถยนต์ รถยนต์พร้อมเครื่องขยายเสียง รถจักรยานยนต์ ที่บริเวณ ถ.ราชวิถี วงเวียนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยมีการลงมาเดินบนถนนทำกิจกรรมเผาหุ่นฟาง กล่าวปราศรัยวิจารณ์รัฐบาลเรื่องจัดหาวัคซีนป้องกันการระบาดโควิด-19 และโจมตีการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจในการใช้มาตรการดำเนินการจับกุมและสลายการชุมนุมฯ
ซึ่งการรวมกลุ่มลักษณะปิดกั้นการสัญจรไปมา และมีการขว้างปาวัตถุสิ่งของใส่ตำรวจควบคุมฝูงชนระหว่างที่ข้อกำหนด ประกาศคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนดขึ้นตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักรดังกล่าวมีผลบังคับใช้ โดยจำเลยให้การปฏิเสธ และได้รับการประกันตัว
โดยในช่วงเช้าวันนี้ นางวรวรรณ หรือป้าเป้า และจำเลยรวม 7 คน มาฟังคำพิพากษาพร้อมกับทนายความ ยกเว้นเพียง นายวีรวัฒน์ จำเลยที่ 5 ซึ่งหลบหนีประกัน
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า จำเลยทั้งหมดได้ร่วมกันชุมนุมหรือทำกิจกรรมของบุคคลตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดเชื้อโรคโควิด-19 จึงเป็นการกระทำผิดกฎหมาย มีความผิดตามประกาศการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เรื่อง ห้ามการชุมนุม การทำกิจกรรม การมั่วสุม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 ฉบับที่ 9 และ 30 ส่วน ข้อหาความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายฯ โดยผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธฯ,ร่วมกันต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายฯโดยมีหรือใช้อาวุธและโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปให้ยกฟ้อง
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันชุมนุมหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดเชื้อโรคโควิด-19 ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 20,000 บาท แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนอีกทั้งประกอบอาชีพและมีภาระต้องเลี้ยงดูแลครอบครัว บางคนกำลังศึกษาอยู่ จึงอยากให้เอาเป็นบทเรียนและทบทวนตัวเอง โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้ 3 ปี และคุมความประพฤติ 2 ปี โดยให้รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติจำนวน 8 ครั้งภายในระยะเวลาที่กำหนด และทำงานบริการสังคมเป็นเวลา 24 ชั่วโมง