ศรีสุวรรณ ยื่น กกต. สอบ 'กรณ์-สุวัจน์' เข้าข่ายชี้นำพรรคการเมืองหรือไม่

Home » ศรีสุวรรณ ยื่น กกต. สอบ 'กรณ์-สุวัจน์' เข้าข่ายชี้นำพรรคการเมืองหรือไม่


ศรีสุวรรณ ยื่น กกต. สอบ 'กรณ์-สุวัจน์' เข้าข่ายชี้นำพรรคการเมืองหรือไม่

ศรีสุวรรณ ยื่น กกต. สอบ ‘กรณ์-สุวัจน์’ เข้าข่ายชี้นำพรรคการเมืองหรือไม่ หลังจับมือแถลงข่าวร่วมกัน พร้อมจี้กกต. เผยการลาออกของ กรณ์

5 ก.ย. 2565 – ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เดินทางมายื่นคำร้องต่อกกต. เพื่อขอให้ไต่สวน สอบสวนนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา และ นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ที่ร่วมกันแถลงข่าวจับมือทางการเมืองเมื่อวันที่ 2 ก.ย. ที่ผ่านมา

โดย นายกรณ์ จะเข้ามาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรคชาติพัฒนา และอาจเป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนาในอนาคต ทั้ง ๆ ที่ตามกฎหมาย นายกรณ์ ยังมีสถานะเป็นสมาชิกและหัวหน้าพรรคกล้าอยู่ การที่ประธานพรรคชาติพัฒนา ยินยอมให้ นายกรณ์ ซึ่งยังมิได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกและหัวหน้าพรรคกล้าก่อน

ชี้ให้เห็นว่า พรรคชาติพัฒนา อาจเข้าข่ายยินยอมหรือกระทำการใดอันทำให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้ พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม อันเป็นการฝ่าฝืนหรือต้องห้ามตาม มาตรา 28 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 หรือไม่

ทั้งนี้หาก กกต. วินิจฉัยว่ามีความผิดจริง ซึ่งตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 92 (3) บัญญัติไว้ชัดเจนว่าการกระทำเช่นนี้ อาจเป็นหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองดังกล่าวกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา 28 จะเป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่จะต้องดำเนินการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวต่อไปได้

ขณะเดียวกัน นายกรณ์ แถลงยืนยันต่อหน้าสื่อมวลชนว่า มาแถลงข่าวเกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมของพรรคชาติพัฒนา เป็นการมาในฐานะส่วนตัวนั้น อาจเป็นการชี้ได้ว่า นายกรณ์ ยังมิใช่สมาชิกพรรคชาติพัฒนา แต่กลับมาร่วมกระทำการ อันมีลักษณะเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ฝ่าฝืนหรือต้องห้ามตาม มาตรา 29 แห่ง พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 อาจมีความผิดตามมาตรา 108 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-10 ปี ปรับตั้งแต่ 1-2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้นได้

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ