“ศรีสุวรรณ” พร้อมเครือข่ายฯ ยื่นฟ้องศาลปกครอง ขอให้เพิกถอนมติกกพ.ขึ้นค่าไฟฟ้า ซัด ผลักภาระให้ประชาชนรับผิดชอบอย่างไม่ละอาย
เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2565 ที่ศาลปกครองกลาง นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ร่วมกับเครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ โดย พ.ท.พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี และเครือข่ายภาคประชาชนที่เดือดร้อนจากการขึ้นค่าไฟฟ้า ได้ยื่นคำฟ้องคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้ศาลเพิกถอนการขึ้นค่าไฟฟ้า หรือค่าเอฟที (Ft) งวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.65 ถึง 4.72 บาท
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า สืบเนื่องจาก กกพ. มีมติขึ้นค่าเอฟทีใหม่ ไปอยู่ที่ 93.43 สตางค์ต่อหน่วย หรือปรับเพิ่มขึ้น 68.66 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ราคาค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่ายในงวดใหม่ เดือนก.ย.-ธ.ค. ปรับขึ้นไปอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย จากเดิม 4 บาท ถือเป็นอัตราค่าไฟฟ้าที่สูงสุดตั้งแต่เรียกเก็บมา เป็นการผลักภาระให้ประชาชนทุกครัวเรือนทั้งประเทศให้ร่วมรับผิดชอบ อย่างไม่ละอาย
นายศรีสุวรรณ กล่าวต่อว่า การคิดค่าเอฟทีหรือค่าไฟฟ้าผันแปร มาจากความผิดพลาดของแผน PDP2018 ที่เปิดโอกาสให้เอกชนสามารถผลิตไฟฟ้าขายให้ กฟผ. ได้อย่างเต็มที่ ทำให้ประเทศมีกำลังการผลิตไฟฟ้ากว่า 48,159.37 เมกะวัตต์ แต่ปรากฏว่ามีการใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศสูงสุดไม่ถึง 30,000 เมกะวัตต์ ซึ่งสถิติการใช้ไฟฟ้าช่วงฤดูร้อนสูงสุดในปี 2565 ก็แค่เพียง 30,936.5 เมกะวัตต์ ทำให้ประเทศมีไฟฟ้าสำรองเกือบ 50% หรือเกือบ 2 หมื่นเมกะวัตต์
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ทั้งนี้ ระบบสากลกำหนดให้มีไฟฟ้าสำรองประมาณ 15% ก็พอแล้ว แต่ประเทศไทย กกพ.กลับปล่อยให้มีมากมายมหาศาล ซึ่งค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้เอกชนตามสัญญาผูกมัด กลายเป็นค่าพร้อมจ่ายที่จะใช้ไฟฟ้าหรือไม่ก็ต้องจ่าย ทำให้บริษัทไฟฟ้าเอกชนต่างๆ ร่ำรวย อู้ฟู่กันเป็นทิวแถว แต่ภาระทั้งหมดถูกผลักมาให้ผู้ใช้ไฟฟ้าแต่ละครัวเรือนร่วมรับผิดชอบอย่างไม่เป็นธรรม
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า นอกจากนั้น ประเทศไทยยังมีการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน ที่บริษัทไทยไปสร้างและร่วมเป็นเจ้าของ รวมถึงเขื่อนจากประเทศลาว เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่า 5,720.60 เมกะวัตต์แล้ว ทั้งที่ประเทศไทยยังมีไฟฟ้าล้นประเทศและเหลือใช้มากมาย แต่ยังจะซื้อเพิ่มอีก 2 เขื่อนด้วยราคาที่แพงกว่าราคาที่กฟผ.ซื้อโดยทั่วไป ซึ่งภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดก็จะผลักมาเป็นภาระค่าเอฟทีให้ประชาชนช่วยจ่ายนั่นเอง
นายศรีสุวรรณ กล่าวด้วยว่า ที่สำคัญ กกพ.ใช้อำนาจที่อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 56 ที่กำหนดให้โครงสร้างหรือโครงข่ายขั้นพื้นฐานของกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐ จะทําให้รัฐเป็นเจ้าของน้อยกว่าร้อยละ 51 มิได้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวผู้ตรวจการแผ่นดินได้วินิจฉัยและส่งเรื่องให้รัฐบาลแก้ไขแล้ว แต่กลับเพิกเฉยไม่ยอมแก้ไข สมาคมฯ และเครือข่ายฯ จึงไม่อาจปล่อยให้ กกพ. ใช้อำนาจหรือดุลยพินิจโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนได้ จึงนำความมาฟ้องศาลปกครองเพื่อขอให้เพิกถอนมติของกกพ.ดังกล่าว