ศรีลังกาวิกฤตยับ ดับไฟวันละ13ชั่วโมง-รัฐถังแตกซ้ำค่าครองชีพกระฉูด
ศรีลังกาวิกฤตยับ – วันที่ 31 มี.ค. รอยเตอร์รายงานความคืบหน้าวิกฤตเศรษฐกิจครั้งรุนแรงที่สุดของประเทศศรีลังกา ล่าสุด รัฐบาลประกาศดับไฟตามถนนแล้วเพื่อประหยัดพลังงาน หลังศรีลังกาไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอจนต้องประกาศดับไฟวันละ 13 ชั่วโมงทั่วประเทศ
มาตรการล่าสุดของทางการศรีลังกาตอกย้ำความยากลำบากของประชาชนกว่า 22 ล้านคน ที่กำลังเผชิญกับภาวะค่าครองชีพพุ่งสูง ภาวะขาดแคลนสิ่งอุปโภคและบริโภค ขณะที่รัฐบาลนั้นมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงมาผลิตกระแสไฟฟ้า
ซ้ำร้ายไปกว่านั้นพลังงานไฟฟ้าจากเขื่อนของศรีลังกาก็ไม่สามารถผลิตได้เพียงพอ ทั้งปริมาณน้ำยังอยู่ในภาวะวิกฤตเนื่องจากฝนไม่ตก ตอกย้ำด้วยภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงถึงร้อยละ 18.7 ของเดือนมี.ค. เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว นับเป็นอัตราเงินเฟ้อสูงที่สุดของชาติ
นางปวิธรา วันเนียราชชี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า น้ำมันดีเซลมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งรัฐบาลซื้อด้วยเครดิตจากทางการอินเดียกำลังถูกส่งมาใช้ผลิตไฟฟ้า โดยมีกำหนดจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ (1 เม.ย.)
อย่างไรก็ดี นางติมัณธา แมทธิว ผู้อำนวยการบริษัทที่ปรึกษาการตลาด เฟิร์สต์ แคปิตอล รีเสิร์ช กล่าวเตือนว่า น้ำมันที่สั่งซื้อเข้ามานั้นจะไม่ช่วยแก้ไขปัญหาใดๆ อาจจะได้เพียงให้รัฐสามารถผ่อนผันระยะเวลาตัดไฟต่อวันให้สั้นลงได้เท่านั้น
นางแมทธิว ระบุว่า สิ่งที่จะแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพลังงานได้คือน้ำฝน โดยศรีลังกาจะต้องรอจนกว่าเข้าฤดูมรสุมในเดือนพ.ค.นี้ ประชาชาชาวศรีลังกาจะต้องเผชิญกับอากาศร้อนอบอ้าวในฤดูร้อนนี้ไปอย่างที่รัฐบาลไม่สามารถทำอะไรได้
ทั้งนี้ วิกฤตดังกล่าวเกิดขึ้นหลังการประกาศลดภาษีของรัฐบาลผนวกกับผลกระทบจากภาวะบอบช้ำทางเศรษฐกิจจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาปี 2019 หรือโควิด-19 วินัยการเงินการคลังของรัฐที่ขาดประสิทธิภาพ ทำให้เงินสำรองระหว่างประเทศลดลงถึงร้อยละ 70 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
โดยเหลือเพียง 2.31 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 7.6 หมื่นล้านบาท ทำให้รัฐบาลศรีลังการ้องขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ รวมทั้งอินเดีย และจีน