มติ ศบค.ชุดใหญ่ ยังคงมาตรการควบคุมการระบาดของโควิดตามเดิมไปจนถึง 30 ก.ย. พร้อมกับเห็นชอบแผนฉีดวัคซีน 24 ล้านโดสให้กับกลุ่มเป้าหมาย 5 กลุ่ม ตั้งปต่ปลายเดือน ก.ย. – 31 ต.ค.นี้
วันนี้ (10 ก.ย.) ตั้งแต่เมื่อเวลา 13.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 14/2564 (ผ่านระบบ Video Conference) ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อพิจารณาการปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 เนื่องจากจะครบ 2 สัปดาห์ในวันที่ 14 ก.ย.นี้
ล่าสุดเมื่อเวลา 15.30 น. นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงผลการประชุมว่า ที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ มีมติเห็นชอบคงพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) 29 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุด 37 จังหวัด พื้นที่ควบคุม 11 จังหวัด พร้อมกับให้คงมาตรการป้องกันควบคุมโรคตามระดับพื้นที่สถานการณ์ ตามข้อกำหนดฉบับที่ 32 ไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564
รายชื่อ 29 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม ชลบุรี ฉะเชิงเทรา พระนครศรีอยุธยา กาญจนบุรี ตาก นครนายก นครราชสีมา ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี สมุทรสงคราม สระบุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติให้คงมาตรการเคอร์ฟิว ขอความร่วมมือประชาชนงดออกจากบ้านโดยไม่จำเป็น ในช่วงเวลา 21.00-04.00 น. รวมทั้งคงมาตรการ Work from Home และยังคงเปิดกิจการและกิจกรรมตามเดิม แต่ยังให้ปิดสถานบันเทิง ห้ามดื่มเครื่องดืมแอลกอฮอล์ภายในร้าน และเพิ่มความเข้มข้นในการควบคุมกำกับตามมาตรการ COVID Free Setting มาตรการควบคุมแบบบูรณาการในการปิดสถานที่เสี่ยงต่างๆ สื่อสารให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคขั้นสูงสุด (Universal Prevention)
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ยังเห็นชอบแผนการกระจายฉีดวัคซีนโควิด จำนวน 24 ล้านโดส แยกตามกลุ่มเป้าหมาย 5 กลุ่ม ตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย.-31 ต.ค. 2564 รวมถึงการเห็นชอบแนวทางการให้บริการฉีดวัคซีนสูตรไขว้ การฉีดเข็มกระตุ้น และการเริ่มฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป
แผนการรับมอบวัคซีนโควิดในเดือนตุลาคม 2564
ตั้งเป้าไว้ที่ 24 ล้านโดส แบ่งเป็น ซิโนแวค 6 ล้านโดส แอสตร้าเซนเนก้า 10 ล้านโดส ไฟเซอร์ 8 ล้านโดส
กลุ่มเป้าหมายที่จะกระจายฉีดวัคซีน 24 ล้านโดส
ตั้งแต่ 27 กันยายน – 31 ตุลาคม 2564 ใน 5 กลุ่มเป้าหมาย ดังนี้
- ประชาชนทั่วไป ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ทั่วประเทศ โดยใช้สูตรวัคซีน 3 สูตรคือ ซิโนแวค/แอสตร้าเซนเนก้า, แอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม และแอสตร้าเซนเนก้า/ไฟเซอร์ คิดเป็นจำนวนวัคซีน 16.8 ล้านโดส
- นักเรียนที่มีอายุระหว่าง 12-17 ปี ทั่วประเทศ ใช้สูตรวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม คิดเป็นจำนวนวัคซีน 4.8 ล้านโดส
- แรงงานในระบบประกันสังคม ใช้สูตรฉีดไขว้ซิโนแวค/แอสตร้าเซนเนก้า คิดเป็นจำนวนวัคซีน 8 แสนโดส
- หน่วยงานอื่นๆ เช่น องค์กรภาครัฐ กรมราชทัณฑ์ ใช้สูตรฉีดไขว้ซิโนแวค/แอสตร้าเซนเนก้า คิดเป็นจำนวนวัคซีน 1.1 ล้านโดส
- ผู้ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค ครบ 2 เข็ม และต้องการเข็มกระตุ้น (เข็มที่ 3) โดยจะฉีดเข็มกระตุ้นเข็มที่ 3 ให้เป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า คิดเป็นจำนวนวัคซีน 5 แสน โดส
แนวทางการให้บริการวัคซีนโควิด 19 ของประเทศไทย
ตามมติการประชุมคณะกรรมการอำนวยการ ศปก.สธ. เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 64 เป็นดังนี้
การฉีดวัคซีนสูตรไขว้
- ซิโนแวค/แอสตร้าเซนเนก้า เว้นระยะห่างระหว่างเข็ม 3-4 สัปดาห์ เป็นวัคซีนหลักของประเทศไทย ใช้ในผู้ที่มีอายุ 18 ขึ้นไปทุกกลุ่ม
- แอสตร้าเซนเนก้า/ไฟเซอร์ เว้นระยะห่างระหว่างเข็ม 4-12 สัปดาห์ ใช้ทดแทนสูตรแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม และในกรณีที่มีเหตุผลความจำเป็นอื่น
การฉีดวัคซีนจากบริษัทผู้ผลิตเดียวกัน
- ไฟเซอร์ 2 เข็ม เว้นระยะห่างระหว่างเข็ม 3-4 สัปดาห์ ใช้ในผู้ที่มีอายุ 12-17 ปี และใช้ในผู้ที่จำเป็นต้องเดินทางไปยังประเทศปลายทางที่กำหนดว่าต้องรับวัคซีนไฟเซอร์
- แอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม เว้นระยะห่างระหว่างเข็ม 8-12 สัปดาห์ ใช้ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป และใช้ในผู้ที่จำเป็นต้องเดินทางไปยังประเทศปลายทางที่กำหนดว่าต้องรับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า
- ซิโนฟาร์ม 2 เข็ม เว้นระยะห่างระหว่างเข็ม 3-4 สัปดาห์ เป็นวัคซีนทางเลือก รายละเอียดการใช้ตามที่บริษัทผู้ผลิตกำหนด
การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น
ใช้ในผู้ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค ครบ 2 เข็ม โดยจะกระตุ้นเป็นเข็ม 3 ด้วยวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เว้นระยะห่างตั้งแต่ 4 สัปดาห์ขึ้นไปหลังเข็มที่ 2 ซึ่งมีการเริ่มดำเนินการในโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์แล้ว
การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในผู้ที่ติดเชื้อ
จะฉีดเป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า หรือ วัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 1 เข็ม เว้นระยะห่าง 1-3 เดือนหลังจากตรวจพบเชื้อ และหายดี รวมทั้งพ้นระยะกักตัวแล้ว หรือหากเกิน 3 เดือน ให้วัคซีนโดยเร็ว แต่จะฉีดให้เฉพาะผู้ที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนมาก่อน หรือได้รับวัคซีนไม่ครบ หรือได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้วแต่ยังไม่ถึง 2 สัปดาห์แล้วติดเชื้อ