“วิโรจน์” เจ็บหัวใจ “ชลน่าน” พูดพาดพิงในสภาฯ ย้ำปลดแอกอำนาจเผด็จการ รธน.60 ไม่ใช่แค่การหาเสียง ชี้ผู้ลี้ภัยทุกคนควรได้กลับบ้านแบบ “ทักษิณ” ไม่เช่นนั้นจะเรียกว่าสิทธิพิเศษ
(22 ส.ค. 66) ที่อาคารรัฐสภา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ กับสื่อมวลชนภายหลังจากการลงมติโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ว่า ตนเองได้รับการสอนจากนายปิยบุตร แสงกนกกุล ตอนปี 62 ว่าเราต้องทำ 3 อย่างในสภาฯ คือเรื่องการผลิตกฎหมาย เรื่องการสะท้อนเสียงของประชาชน และการติดตามตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาล เราจะทำหน้าที่ทั้ง 3 อย่างให้ดีที่สุด
ส่วนการเป็นฝ่ายค้านเชิงรุกจะมีการเสริมตัวเยอะมาก ถึง 14 ล้านคน ที่ทำงานร่วมกัน เราเป็นพรรคมวลชนที่มีประชาชนเป็นเจ้าของ ไม่ใช่พรรคที่เป็นเจ้าของประชาชน เรามุ่งมั่นตั้งใจในการแก้ไขกฎหมายที่ล้าสมัย ที่เป็นบ่อเกิดการเรียกรับผลประโยชน์ พวกเรามีแผนการแก้ไขกฎหมายเต็มไปหมด และไม่น่ามีพรรคการเมืองใดให้ความสำคัญกับอำนาจนิติบัญญัติอย่างแท้จริง
ส่วนการจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ในการร่วมมือกันเป็นฝ่ายค้านนั้น นายวิโรจน์ ระบุว่า คงต้องทำงานร่วมกัน และการตรวจสอบรัฐบาลก็ต้องคุยกัน เพราะเป็นหน้าที่ เรามีความรู้สึกตรงไปตรงมา เคยพูดไว้อย่างไรก็พูดแบบนั้น ไม่ค้องมาคิดประดิษฐ์คำโกหกไปเรื่อย ๆ
เมื่อถามถึง กรณีที่นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยอภิปรายในสภาพาดพิงถึงพรรคก้าวไกล นายวิโรจน์ ระบุว่า เรามีวิธีความเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งในส่วนที่รู้สึกเสียใจมาก ๆ คือเรื่องของนโยบายในการแก้ไขปัญหาของประชาชน ก็รู้สึกผิดหวัง ไม่ใช่เรื่องของพรรคก้าวไกลเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของประชาชน ซึ่งเราคงต้องติดตามตรวจสอบกันต่อไปแต่ประโยคที่พูดไปในสภา มันก็เจ็บหัวใจ เราต้องปลดแอกอำนาจของเผด็จการอย่างรัฐธรรมนูญปี 60 ซึ่งเป็นเพียงการหาเสียง โดยอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ดังนั้น คนที่จะร่างธรรมนูญฉบับใหม่ต้องเป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชนยึดโยงกับประชาชนเท่านั้นเอง
“หากโครงสร้างในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังต้องเกรงใจ เจียมเนื้อเจียมตัว กับคำสั่งขององค์กรใด ๆ ที่เป็นลูกติดหรือได้รับการแต่งตั้งจากเผด็จการคิดว่าประชาชนคงรับไม่ได้ ความต้องการคือแก้ไขรัฐธรรมนูญ นับเป็นความต้องการที่เรียบง่ายมาก ส่วนจะแก้ไขอย่างไรนั้นก็ล็อคสเป็คไม่ได้เพราะต้องขึ้นอยู่กับ ส.ส.ร. ที่มาจากประชาชน” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า คนที่เลือกพรรคก้าวไกล ไม่ผิดหวัง เพราะเราทำตามที่พูด หากผิดหวังคือเลิกไป แล้วพูดอย่างทำอย่าง หาข้อแก้ตัว หาข้ออ้าง ชักแม่น้ำทั้งห้ามากกว่า อย่างนั้นถึงจะรู้สึกผิดหวัง ตนเองคิดว่ายังไม่สมประสงค์แต่ก็ยังให้กำลังใจ และจับมือเดินกันต่อไป รวมถึงตอนนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยหรือส่งสัญญาณมาจากนายพิธา
“การกลับมาของนายทักษิณ ชินวัตร คงส่งสัญญาณทางการเมืองไม่มากก็น้อย เพราะหากไม่มีนัยยะอะไรเลยก็คงไม่ได้ แต่ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าสิ่งที่นายทักษิณ โดนกระทำเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ไม่ใช่ความยุติธรรมแน่นอน นายทักษิณควรได้รับความยุติธรรม แต่อย่างไรก็ตาม ความยุติธรรมที่ได้รับ ผู้ลี้ภัยคนอื่น ๆ ก็ต้องได้รับเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นจะเรียกว่าสิทธิพิเศษ” นายวิโรจน์ กล่าว