กลายเป็นอีกคู่พลิกล็อกของการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ครั้งนี้หลัง โครเอเชีย สามารถโค่นเต็งหนึ่งอย่าง บราซิล ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยการเอาชนะจุดโทษไป 4-2 หลังเสมอกันในช่วงเวลาปกติ และต่อเวลาพิเศษ 1-1
โดยรูปเกมในช่วงแรกเป็น บราซิล ที่พยายามเปิดเกมบุก และใช้การโจมตีจาก 2 แนวรุกฝั่งขวา และซ้ายอย่าง ราฟินญา และวินิซิอุส จูเนียร์ ตามที่พวกเขาถนัดแต่ทว่า โครเอเชีย ก็เหมือนจะรู้ในจุดนี้ และสามารถรับมือได้เป็นอย่างดีซึ่งต้องชมผู้เล่นในตำแหน่งแบ๊กขวา และซ้ายอย่าง โยซิป ยูราโนวิช และบอร์นา โซซา
นอกจากนั้นแล้ว โครเอเชีย ยังสามารถตัด เนย์มาร์ และริชาร์ลิซอน ออกจากการมีส่วนร่วมในการทำเกมรุกได้น่าพอใจ เนื่องจากนักเตะ 2 คนนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญในการผลิตสกอร์ของทัพ “แซมบา”
และยิ่งเวลาผ่านไป โครเอเชีย ก็เหมือนสามารถเล่นตามเกมของตัวเองไปได้เรื่อยๆ และมีโอกาสต่อบอล รวมถึงสวนกลับบ้างเป็นครั้งคราวตามสไตล์ที่พวกเขาถนัด
ทว่าในช่วง 5 นาทีแรกของครึ่งหลังเรียกได้ว่าเป็น “จุดเปลี่ยน” ของเกมเนื่องจาก บราซิล โหมบุกใส่ โครเอเชีย อย่างหนัก และน่าจะได้ประตูขึ้นนำอย่างน้อย 1 ลูก ทว่าได้ โดมินิก ลิวาโควิช ผู้รักษาประตูเซฟช่วยไว้หลายครั้งจนทำให้ยังเสมอกันอยู่ 0-0
จนกระทั่งในช่วงกลางของครึ่งหลัง ติเต ผู้จัดการทีมชาติบราซิล ได้พยายาม “เปลี่ยนแปลง” ด้วยเอาแข้งหลักอย่าง วินิซิอุส จูเนียร์, ราฟินญา และริชาร์ลิซอน ที่ไม่ค่อยมีบทบาทออก และส่ง โรดริโก, อันโตนี และเปโดร ลงมา ทว่ารูปเกมก็ยังไม่ดีขึ้นมากนักจนจบ 90 นาทีเสมอกัน 0-0 ต้องไปสู้กันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที
มาถึงในช่วงต่อเวลาพิเศษครึ่งแรกกลับกลายเป็นว่ารูปเกมของทั้ง 2 ฝั่งกลับมาสูสีโดยมีจังหวะผลัดกันรับ และรุก อย่างสนุก ถึงกระนั้นในช่วงนาที 105+1 บราซิล ได้ใช้การโจมตีเร็วด้วยการ “ทำชิ่ง” ระหว่าง เนย์มาร์ กับ ลูคัส ปาเกตา ก่อนเป็น เนย์มาร์ หลุดเข้ากรอบเขตโทษ และแตะหลบ ลิวาโควิช ไปยิงประตูขึ้นนำให้ทีม
โดยประตูดังกล่าวมาในช่วงที่สำคัญสุดๆ เพราะนอกจากจะทำให้ บราซิล ได้เปรียบแล้ว ยังบีบให้ โครเอเชีย ต้องเปิดเกมบุกเพื่อทวงประตูคืนซึ่งเป็นสไตล์ในช่วง 15 นาทีที่เหลือ
จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของการต่อเวลาพิเศษ ไม่รู้ว่าเป็นแท็คติกของ ติเต หรือเป็นความสับสนของนักเตะที่อยู่ในสนามซึ่งตอนนี้เป็นชุดตัวจริงผสมกับตัวสำรอง เพราะ บราซิล เล่นแบบ “ไม่เป็นตัวเอง” คือถอยไปตั้งเกมรับเยอะเกินไป และเวลาบุกก็ดันขึ้นมาทั้งแผงแบบไม่จำเป็น และการที่ “หลังลอย” ก็เป็นบ่อเกิดต่อการเสียประตูตีเสมอหลัง มิสลาฟ ออร์ซิช หลุดมาทางซ้าย ก่อนตบเข้ากลางให้ บรูโน เพ็ตโควิช ซัดด้วยซ้ายตุงตาข่ายในนาที 117
ในช่วงที่เหลือไม่มีใครทำอะไรกันได้ทำให้ต้องไปตัดสินผู้ชนะด้วยการดวลจุดโทษ ซึ่งดูเหมือนว่า โครเอเชีย จะมีความมั่นใจมากกว่าเนื่องจากก่อนเกม ลูกา โมดริช ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าพวกเขาซ้อมยิงมา ขณะที่ บราซิล แทบจะไม่เหลือตัวเก๋าที่จะมาสังหารลูกโทษในสนาม
และกลายเป็น ลิวาโควิช ที่สวมบทฮีโร่อีกครั้ง เนื่องจากเขาสามารถเซฟลูกยิงของ โรดริโก ที่มาสังหารให้กับ บราซิล เป็นครั้งแรกได้ ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าตัว รวมถึงเพื่อนร่วมทีม
สุดท้ายเป็น โครเอเชีย ที่ยิงเข้าทั้งหมด 4 คน ขณะที่ บราซิล ยิงเข้าไปเพียง 2 คน ทัพ “ตาหมากรุก” ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศของฟุตบอลโลกเป็นสมัยที่ 2 ส่วนทัพ “แซมบา” ต้องจบเส้นทางไว้เพียงเท่านี้
แม้หลายคนมองว่า โครเอเชีย เป็นทีมที่มีสไตล์ฟุตบอลแบบ “ไม่มีความหวือหวา” ทว่าพวกเขามีสิ่งที่เรียกว่า “ความอดทน” จนสามารถลิ่วสู่รอบต่อไป ส่วน บราซิล วันนี้พวกเขาต้องยอมรับแต่โดยดีว่า “แพ้ภัยตัวเอง”