ฝรั่งเศส ดวลแข้งกับอังกฤษอย่างสนุก รูปเกมเรียกได้ว่าฝั่งไหนชนะก็ไม่แปลก เพียงแต่ฝั่งหนึ่งมีปัจจัยโดยรวมที่เหนือกว่าอีกฝั่งเพียงนิดเดียวเท่านั้น
เริ่มเกมมาทั้งคู่เล่นได้สูสีกัน ก่อนจะเป็นฝั่ง ฝรั่งเศส ขึ้นนำจากลูกยิงไกลอันสวยงาม เป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบเหนืออังกฤษ
แต่อังกฤษก็ไม่ได้ปล่อยให้ประตูที่เสียไปบั่นทอนตัวเอง เดินเกมรุกหนักขึ้นเพื่อหวังตีเสมอให้ได้ ส่วนฝรั่งเศสนั้นอาจเป็นเพราะชะล่าใจผ่อนเกม หรืออาจเป็นเพราะแพ้พละกำลังของอีกฝั่ง แต่ก็เริ่มตกเป็นรองปล่อยให้คู่แข่งบุกใส่อย่างชัดเจน
แม้จบครึ่งแรกอังกฤษจะตีเสมอไม่ได้ แต่ความพยายามยังสืบเนื่องต่อมาถึงครึ่งหลัง แนวรับฝรั่งเศสพลาดท่าทำฟาวล์จนกลายเป็นจุดโทษ อังกฤษยิงตีเสมอจนได้
หลังจากนั้นอังกฤษยังเดินหน้าต่อ ขณะที่ฝรั่งเศสก็พยายามตั้งรับอย่างอดทน กระทั่งพอเข้าใกล้ท้ายเกมจึงได้จังหวะบุกสวยๆ ก่อนจะทำประตูขึ้นนำอีกครั้งโดยที่ไม่ต้องใช้โอกาสเปลืองมาก
รูปเกมยังชวนให้ตื่นเต้นเพราะอังกฤษมีพลังการเล่นล้นเหลือ จนแนวรับฝรั่งเศสพลาดท่าเสียจุดโทษอีกครั้ง แต่ถึงจะเป็นจอมสังหารอย่าง แฮร์รี เคน เมื่อเจอความกดดันถาโถม ก็ทำเอาสั่นจนยิงพลาดเช่นกัน ส่งผลให้อังกฤษไม่สามารถยื้อถึงการต่อเวลาได้
เกมนี้ถ้าว่ากันตามตรง ต้องบอกว่าอังกฤษค่อนข้างจะทำได้ดีกว่าฝรั่งเศส แต่ฟุตบอลเป็นกีฬาที่วัดกันด้วยจำนวนประตู และอังกฤษแพ้เพราะไม่สามารถเปลี่ยนเกมบุกให้เป็นสกอร์ได้ นี่เป็นเรื่องที่ทีมต้องไปปรับปรุงแก้ไขกันต่อไป
ส่วนเกมรับอังกฤษสามารถคุมตัวอันตรายอย่าง คีลิยัน เอ็มบัปเป แบบอยู่หมัด แต่จุดแข็งอย่างหนึ่งของฝรั่งเศสคือการมีอาวุธเข้าทำที่หลากหลาย ไม่พึ่งพาแค่ใครโดยเฉพาะ ซึ่งสุดท้ายอังกฤษก็ไม่สามารถต้านทานได้ทั้งหมด
อองตวน กรีซมันน์ แม้ตอนนี้ฟอร์มการเล่นกับสโมสรจะไม่โดดเด่นนัก แต่กับทีมชาติฝรั่งเศสแล้วยังร้ายกาจเสมอ แมตช์นี้จ่ายบอลให้เพื่อนยิงทั้ง 2 ประตู ทำให้ทัวร์นาเมนต์นี้จ่ายให้เพื่อนยิงรวม 3 ครั้งแล้ว
ขณะที่ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ก็ยังทำได้ดีในฐานะศูนย์หน้าตัวเป้า นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมฝรั่งเศสยึดมั่นกับการให้แข้งรายนี้ลงตัวจริงเสมอมา ทั้งที่คราวได้แชมป์ปี 2018 ยิงไม่ได้สักประตูเลยด้วยซ้ำ
กระนั้น ฝรั่งเศสเองก็ยังมีจุดบกพร่องสำคัญ นั่นคือเกมรับที่ยังเข้าปะทะแบบไม่ระวังเท่าที่ควร อย่างเกมนี้เสียจุดโทษไปถึง 2 ครั้ง ถ้าอังกฤษนิ่งและเฉียบคมพอ บางทีอาจเปลี่ยนโฉมทีมที่ตกรอบได้เลย
โดยรวมแล้วนี่เป็นแมตช์ที่สู้กันสนุก ทั้งคู่ต่างเล่นฟุตบอลอย่างมีคุณภาพ เพียงแต่ว่าผู้ชนะมีได้หนึ่งเดียวจึงอยู่ที่ว่าวันนั้นเป็นวันของใคร และเป็นฝรั่งเศสที่ได้รับรอยยิ้มจากเทพธิดาแห่งชัยชนะ ด้วยความแตกต่างเพียงนิดเดียวเท่านั้น