ญี่ปุ่น มีความมุ่งมั่นและมีสมาธิกับเกมอยู่ตลอด จนฉกฉวยโอกาสทำ 2 ประตู และคว้าชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ไปได้ ส่วนสเปนมีปัญหาสมาธิไม่ดี และความใจสู้เป็นรองคู่แข่ง
เริ่มเกมเป็นฝั่ง สเปน ที่ครองบอลได้มากกว่าตามคาด แต่สเปนก็ไม่ได้โหมรุกอะไรนัก ขณะที่ ญี่ปุ่น พยายามคุมเชิงด้วยความเยือกเย็นรอจังหวะคู่แข่งพลาด ซึ่งทีมเองก็พอจะสบโอกาสบ้างเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม สเปนก็ปลดล็อกขึ้นนำจากการโขกของ อัลบาโร โมราตา ซึ่งคาดว่าได้ลงตัวจริงเกมนี้ตามแผนของกุนซือ หลุยส์ เอ็นริเก สำหรับบุกในสถานการณ์ที่เจอญี่ปุ่นตั้งรับเหนียวๆ จึงต้องมีลูกกลางอากาศมาช่วยสักหน่อย
หลังจากนั้นสภาพการณ์ยังไม่ต่างจากเดิมนัก สเปนก็ยังครองบอลไปอย่างสบายใจ ส่วนญี่ปุ่นทำได้อย่างมากเพียงสกัดแล้วทำท่าจะโต้แต่ไม่สำเร็จ แถมสเปนยังเกือบจะยิงเพิ่มอีกด้วยซ้ำ
แต่ลูกฟุตบอลกลมๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ และจุดเปลี่ยนก็มาเกิดขึ้นในช่วงต้นครึ่งหลัง เมื่อแนวรับของสเปนเล่นพลาดแบบไม่สมควรเลยถูก ริสึ โดอัน ฉกไปยิงตีเสมอ จากนั้นเหมือนแนวรับสเปนออกอาการมึน จนเปิดโอกาสให้ญี่ปุ่นยิงแซงนำในอีกเพียงชั่วครู่
สเปนที่รู้ตัวว่าสถานการณ์เริ่มไม่ปลอดภัยก็พยายามจะบุก แต่ญี่ปุ่นก็อุทิศตัวเพื่อเกมรับพยายามต้านทานอย่างเหนียวแน่น ทำให้สเปนแทบไม่มีโอกาสเจาะเข้าไปยิงเลย และจบด้วยชัยชนะของญี่ปุ่นในที่สุด แต่ทั้งญี่ปุ่นและสเปนก็เข้ารอบไปด้วยกัน
แมตช์นี้ต้องชมความมุ่งมั่นและความมีสมาธิของญี่ปุ่น แม้รูปเกมจะไม่ดีกว่า แต่ก็จับจ้องหาโอกาสแบบไม่มีท้อถอยจนได้ผลตอบแทนเป็น 2 ประตู จากนั้นก็ช่วยกันต้านทานคู่แข่งที่ชื่อชั้นเหนือกว่ามากไปได้ตลอดรอดฝั่ง
นี่ถือเป็นฟุตบอลโลกที่น่าจดจำครั้งหนึ่งของญี่ปุ่น เมื่อสามารถโค่นแชมป์โลกถึง 2 รายและผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ ไม่ว่าจากนี้ญี่ปุ่นจะเดินหน้าไปได้ไกลเพียงใด แต่ช่วงเวลานี้จะเป็นที่พูดถึงกันไปอีกนานแน่นอน
ขณะที่สเปนกลับพบว่าเรื่องสมาธิเป็นปัญหาอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่แมตช์ที่ถูกเยอรมนีตีเสมอ มานัดนี้ก็พลาดเองจนเสียทั้ง 2 ประตู ที่เข้ารอบได้ก็เพราะบุญเก่าแมตช์ถล่มคอสตาริกาจริงๆ แต่ถ้าปัญหานี้ยังไม่ถูกแก้ โอกาสลุ้นแชมป์โลกก็อาจจะยาก