ญี่ปุ่น แม้ขุมกำลังจะเป็นรองเยอรมนี แต่ก็เล่นด้วยความมุ่งมั่นและฉกฉวยโอกาสได้ดี บวกกับการแก้เกมของกุนซือที่ชนะอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
ช่วงต้นเกมเยอรมนีขาดประสิทธิภาพในการเดินเกมขึ้นหน้า ทำให้เสียบอลค่อนข้างง่าย กลายเป็น ญี่ปุ่น ที่รอสวนกลับนั้นได้โอกาสโจมตีน่ากลัวกว่า ถึงขั้นส่งลูกตุงตาข่ายได้แม้ว่าจะล้ำหน้า
อย่างไรก็ตาม เล่นไปเล่นมาเยอรมนีจังหวะเริ่มเข้าที่ การต่อบอลทำได้อย่างเยือกเย็นและแน่นอนขึ้น ทำให้สบโอกาสลุ้นยิงสวยๆ กระทั่งมาได้จุดโทษยิงขึ้นนำ ซึ่งหลังจากนั้นยังน่าได้เพิ่มมากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่พลาดโอกาสไปเอง
เข้าครึ่งหลังเยอรมนียังบุกต่อก็จริง แต่ก็ปล่อยให้ญี่ปุ่นได้มีโอกาสบุกมากขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งต้องชมการแก้เกมของญี่ปุ่นที่ส่งตัวรุกอย่าง คาโอรุ มิโตมะ และทาคุมะ อาซาโนะ ทั้งคู่มีส่วนทำให้ญี่ปุ่นได้ลุ้นยิงเยอะขึ้น
ส่วนเยอรมนีนั้นเกมรุกยังไม่เฉียมคมมากพอ ที่จริงทีมสมควรนำห่างกว่านี้เพราะสบโอกาสยิงดีๆ อีกหลายครั้ง แต่ก็ทิ้งขว้างไปซะหมด และเมื่อตีงูไม่ตาย งูจึงแว้งกลับมาฉก
เยอรมนียิ่งเล่นเกมยิ่งหละหลวมมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาอีก 2 ผู้เล่นเกมรุกที่ลงมาเป็นตัวสำรอง ทาคุมิ มินามิโนะ และริสึ โดอัน ก็ช่วยกันทำให้ญี่ปุ่นตีเสมอได้สำเร็จ ต่อด้วยอาซาโนะที่แสดงทีเด็ดยิงให้ทีมแซงชนะเฉย
ต้องบอกว่าเยอรมนียุคนี้แม้จะยังมีความเป็นระบบ แต่กลับขาดความแน่นอนและเฉียบคม ซึ่งเป็นมาตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2018 ยังแก้ไม่หายเสียที เกมรับก็มีปัญหาชัดเจน นิโค ชล็อตเทอร์เบ็ก ปรับตัวเข้ากับกาตาร์ไปเรียบร้อย นั่นคือกลายเป็นบ่อน้ำมันขนาดใหญ่
ส่วนญี่ปุ่นแม้ศักยภาพจะเป็นรอง แต่ก็พยายามเล่นอย่างมุ่งมั่นและอดทน แถมฉกฉวยโอกาสได้เด็ดขาด สมควรแก่การเป็นฝ่ายชนะ
อีกประเด็นที่เป็นจุดเปลี่ยนของผลการแข่งขัน การแก้เกมของ ฮาจิเมะ โมริยาสึ เอาชนะ ฮันซี ฟลิก อย่างขาดลอย คนหนึ่งเปลี่ยนตัวนักเตะแล้วทีมเล่นดีขึ้นชัดเจน ขณะที่อีกคนไม่ทำให้เกิดความแตกต่าง หรืออาจจะต่างในแง่ลบด้วยซ้ำ
ญี่ปุ่นจะเข้ารอบน็อกเอาต์ต่อไปหรือไม่ เรื่องนี้ยังบอกไม่ได้ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็มีเงื่อนไขที่ดีที่สุดอยู่ในมือไปแล้ว จากนี้ก็ต้องประคองตัวเองให้ตลอดรอดฝั่ง
ส่วนเยอรมนีก็ไม่ถึงกับแย่แบบมืดมน เชื่อว่ายังพอมีโอกาสฟื้นคืนชีพไหว แต่หลังจากนี้คงต้องทำการบ้านกันอย่างหนัก ถ้ายังไม่ปรับปรุงการเล่นให้ดีกว่านี้ รับรองได้กลับบ้านเร็วแน่นอน