ยิ่งติดตามวิวาทะกรณีร่างพ.ร.บ.กัญชง กัญชา ยิ่งเป็นห่วงต่อพรรคภูมิใจไทย
ห่วงเพราะว่าคู่สัประยุทธ์ของพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคประชาธิปัตย์ และเด่นชัดยิ่งว่าพรรคภูมิใจไทยกำลังถูกหลอกล่อให้เข้าไปสู่แนวถนัดของพรรคประชาธิปัตย์
พลันที่มีคำถามว่า “ไปรับงานใคร” ดังมาจากพรรคภูมิใจไทย
คำตอบที่สวนกลับด้วยความร้อนแรงพอๆ กัน ไม่ว่าจะออกจากปากของ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ไม่ว่าจะออกจากปาก นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
คือ พรรคประชาธิปัตย์รับงานจาก “ประชาชน”
มีความจำเป็นต้องยอมรับว่ากระบวนท่าแบบนี้พรรคประชาธิปัตย์เก่งกาจยิ่ง
ยังจำกันได้หรือไม่ว่า เนื้อหาหนึ่งในการปราศรัยหาเสียงของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ก่อนการเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2562
คือ การเสนอวาทกรรม “ประชาธิปไตยสุจริต”
เด่นชัดยิ่งว่า นี่เป็นการสืบทอดจากวาทกรรมประจำสองเรียวปาก นายชวน หลีกภัย และเมื่อมีการผลิตซ้ำโดย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ยิ่งจำหลักหนักแน่น
หล่อทั้ง นายชวน หลีกภัย ทั้ง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
เมื่อคำถาม “ประชาธิปัตย์รับงานใคร” หลุดออกมาจากปาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล ก็เข้าทาง
มองอย่างเปรียบเทียบในด้านของ “ภาพลักษณ์” ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทยมีความแตกต่างกันอยู่แล้ว
ยิ่งแต่ละคู่ที่นำมาจับคู่ประกบกัน ยิ่งหวาดเสียว
เมื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ต้องประดาบกับ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ขณะที่ นายศุภชัย ใจสมุทร ดับเครื่องชน นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย
เห็นๆ กันอยู่ว่าคะแนนแตกต่างกันตั้งแต่เริ่มต้น
การเมือง ณ วันนี้ แม้กระสุนจะมีบทบาทแต่ “กระแส” ก็ยังครองสถานะ “นำ” เด่น
กระแสของพรรคประชาธิปัตย์อาจจะเสื่อมทรุดลงบ้าง แต่การดำรงอยู่ตั้งแต่เดือนเมษายน 2489 ย่อมมิได้ดำรงอยู่อย่างว่างเปล่า เลื่อนลอยแน่นอน
ศึกกัญชาครานี้พรรคภูมิใจไทยเหนื่อยหนักหนาสาหัส