สังคมคิดอย่างไรกับการโจมตีทางการเมืองต่อ เบอร์ 8 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์
ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีว่าสมคบคิดกับพรรคเพื่อไทย เมื่อเห็น นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ลงสมัครชิงตำแหน่ง “ผู้ว่าฯ กทม.” โดยมิได้ส่ง ส.ก.
จึงถูกตั้งข้อสังเกตจาก นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์
ด้านหนึ่ง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ยืนยันความเป็น “อิสระ”ของตน ด้านหนึ่ง ก็ตั้งข้อสังเกตว่า แน่ใจได้อย่างไรว่าส.ก.พรรคประชาธิปัตย์จะได้มาเป็นเสียงข้างมาก
คำถามนี้เมื่อตรวจสอบกับ “ข้อเท็จจริง” นับว่าสายตายาวไกล
ความเป็นจริงที่ปรากฏภายหลังผลการเลือกตั้ง “ผู้ว่าฯ กทม.” ออกมาเป็นอย่างไร
ไม่เพียงแต่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร จะยกหูโทรศัพท์แสดงความยินดีและเรียกในตำแหน่ง “ท่านผู้ว่าฯ” อย่างเต็มปากเต็มคำ
หากยืนยัน ส.ก.พรรคก้าวไกลพร้อมร่วมมือทำงาน
หากกลางดึกของคืนวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พรรคเพื่อไทยยังเปิดการแถลงข่าวแสดงความยินดีและพร้อมร่วมมือทำงานกับ “ผู้ว่าฯกทม.”อย่างเต็มความสามารถ
เท่ากับได้ส.ก.พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกลอยู่ในมือ
ปมเงื่อนของ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ จึงดำเนินไปอย่างที่พรรคก้าวไกลสรุป
อันเห็นได้จากการยืนยันของ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร นั่นก็คือ ความพร้อมในเรื่องของนโยบาย ความพร้อมในเรื่องของการบริหารจัดการ
และที่สำคัญสูงสุด คือ เจตจำนงอันแน่วแน่
ความแน่วแน่ของ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ก็คือ ความพร้อมที่จะทำงานกับทุกฝ่ายมิได้จำกัดเพียงแต่กับพรรคเพื่อไทยหรือพรรคก้าวไกล
ความหมายก็คือ เต็มใจทำตาม “คำสั่ง” ของประชาชน
จึงเห็นถึงบรรยากาศของเช้าวันที่ 23 พฤษภาคมเป็นบรรยากาศแห่งความหวัง
เป็นความหวังที่ได้ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็น “ผู้ว่าฯ กทม.” เป็นความหวังที่เห็นประชามติของคนกรุงเทพมหานครต่อบทเรียนที่ได้มา 8 ปี
8 ปีภายหลัง “รัฐประหาร” เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557