ยอมรับเถิดว่าปัญหาและความขัดแย้งใน“สังคมไทย”นั้น“ลึกซึ้ง”จนถึงกับน่ากลัว
ไม่ต้องนำเอาภาพการเคลื่อนไหวของ“กลุ่มทะลุยฟ้า”มาวางเรียงเคียงกับการปรากฏขึ้นของ “เค 900”พร้อมกับกองทัพงูอันน่าสยดสยอง
หากเพียงมองผ่าน“ดนตรีในสวน”ก็เห็นได้ชัด
มีความแตกต่างอย่างแน่นอนระหว่างการเกิดขึ้นและดำรงอยู่ ณ สวนเบญจกิติ กับ การเกิดขึ้นและดำรงอยู่ ณ มิวเซียมสยาม
ปัจจัยที่เด่นชัดก็คือ การเข้าร่วมของ “ประชาชน”
แน่นอน ภาพจำจาก“ดนตรีในสวน”เฉพาะหน้าย่อมมาจากสวนรถไฟ สวนลุมพินี
ที่สวนรถไฟอาจเป็นบรรยากาศในแบบสุนทราภรณ์ ขณะที่ที่สวนลุมพินีอาจเป็นบรรยากาศในแบบแจ๊ซแบนด์ถอดมาจากหลุยเซียนา
แต่ที่โดดเด่นย่อมเป็นภาพ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์
เพียงออกโรงเต้นร่วมกับประชาชนที่สวนรถไฟยังพอทำเนาเพราะเป็นเพลงแบบสุนทราภรณ์ แต่ที่สวนลุมพินีกลับเป็นแบบแจ๊ซ แจ๊ซ ครึกครื้น
นี่ย่อมเป็นความฝังจำ ประทับจิตไม่เสื่อมคลาย
จากสวนรถไฟ จากสวนลุมพินี นั่นแหละก่อให้เกิดสถานการณ์ สวนเบญจกิติ
เมื่อกองทัพบกประกาศความพร้อมในการจัดทีมนักดนตรีจาก“กรมดุริยางค์ทหารบก”เข้าร่วมบรรเลง“ดนตรีในสวน”
เป็นงานโดยตรงของ “กรมกิจการพลเรือนทหารบก”
ภาพจากสวนเบญจกิติเป็นอย่างไรคงเห็นกันอย่างเด่นชัดเพราะมีการไลฟ์ ภาพจากมิวเซียมสยามเป็นอย่างไรคงเห็นกันอย่างเด่นชัดเพราะมีการไลฟ์
ความคึกคักเป็นของมิวเซียมสยามอย่างไม่มีข้อสงสัย
การขานรับและสนองตอบจาก“ประชาชน” จึงเป็นเครื่องชี้วัดแหลมคมในทางการเมือง
เท่ากับเป็นการแสดง“ปฏิกิริยา”ต่อการมาของ “กรมดุริยางค์ทหารบก” เท่ากับเป็นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับที่ปรากฏในมิวเซียมสยาม
มีความไม่ไว้วางใจ “ทหาร” แม้กระทั่งจาก “เสียงเพลง”