บทเรียนที่ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ประสบทั้งร้อนแรงทั้งล้ำลึก
ในเบื้องต้นเหมือนกับ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นฝ่าย “รุก” แต่เมื่อสถานการณ์คลี่คลายกลับกลายเป็นฝ่าย “รับ”
พลันที่มีการขยับตัวผ่าน “กรรมการบริหารพรรค”
อาการละล้าละลังในระหว่างลาออกหรือยังอยู่ของ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ก็ไม่อาจดำรงอยู่อีกต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว
นั่นก็คือ ต้องพ้นจาก “หัวหน้าพรรค” สถานเดียว
หากมองจากด้านของ “นักการทหาร” ถือว่า พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ประมาท
ความจริง ในเมื่อประจักษ์แจ้งแก่ใจว่ากำลังต่อกรอยู่กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็สมควรตระหนักแล้วว่าสถานการณ์จะลงเอยอย่างไร
นั่นเพราะเป็นการมองจาก “พล.อ.” ไปยัง “ร.อ.”
หารู้ไม่ว่า ไม่ว่า พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ไม่ว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า มิได้อยู่ในค่ายทหาร หากแต่อยู่ในร่มเงาแห่ง “พรรคเศรษฐกิจไทย”
นี่เป็น “การเมือง” อันเข้มข้นและมากด้วยความแหลมคม
มองจากมุมทางด้าน “การเมือง” สถานะ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เปลี่ยนไปแล้ว
แม้ภายหลังรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อาจต้องพึ่งพิงอำนาจและบารมีของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ซึ่งรวมถึงเครือข่าย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ที่มีอยู่
แต่เมื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็น ส.ส. และทะยานจากสมาชิกพรรคธรรมดาขึ้นเป็นเลขาธิการพรรค สถานะ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็ไม่ธรรมดา
ย่อมมี “พลัง” จากกองกำลัง “ส.ส.” ที่แน่นอน แจ่มชัด
สงครามสั่งสอนครั้งนี้มิได้มีเป้าหมายเพียง พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา
ตรงกันข้าม ทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และโดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จักต้องสังวรอย่างมีโยนิโสมนสิการ
นี่คือสัญญาณจาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เน็ต-เน็ต