ภาวะ อ่อนแรง – สภาพการณ์ทางการเมืองของ นางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ไม่สู้จะราบรื่นเท่าใดนัก
ไม่เพียงเพราะ “อาฟเตอร์ช็อก” จากการเลือกตั้งซ่อม ไม่ว่าจะในพื้นที่ เขต 1 ชุมพร ไม่ว่าจะในพื้นที่ เขต 6 สงขลา เมื่อไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดเอาไว้
ยิ่งการขับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และคณะ ยิ่งเป็นเรื่องหนักหนา
ไม่เพียงแต่ทำให้จำนวน ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ หายไปกว่า 20 คน หากแต่ยังทำให้การเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่สะดวกราบรื่น
แม้ว่าพรรคพลังประชารัฐจะเป็น “แกน” ของรัฐบาลก็ตาม
ลําพังการแยกตัวออกไปของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็มากด้วยผลสะเทือนอยู่แล้ว
แต่ความละเอียดอ่อนเป็นอย่างมากก็คือ ความ ขัดแย้งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นภาวะไม่ลงรอยระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า
แม้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะสนองด้วยการขับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า
แต่รอยร้าวอัน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เคยทำเอาไว้ตั้งแต่สถานการณ์เมื่อต้นเดือนกันยายน 2564 ย่อมสร้างความไม่พอใจให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นอย่างสูง
การเคลื่อนไหวของพรรคพลังประชารัฐจึงไม่ราบรื่น
ความไม่ราบรื่นสัมผัสได้จาก “โค้งสุดท้าย” ก่อนจะถึงวันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม
แทนที่ทัพใหญ่จากพรรคพลังประชารัฐจะยกขบวนมาช่วยหาเสียงให้กับ นางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ด้วยความคึกคัก กลับดำเนินไปอย่างหงอยเหงาเซาซึม
เห็นชัดว่าไม่มีการจัดตั้งเวทีปราศรัยเหมือนชุมพร เหมือนสงขลา
แม้จะมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ลงพื้นที่ แต่ในเมื่อไม่มีเงาของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อยู่เรียงเคียงข้าง พลานุภาพทางการเมืองก็ย่อมจะถดถอย
คำประกาศ “ชาติตระกูลสูง” และ “ต้องมีตังค์” จึงไม่กังวาน
ความเชื่อมั่นต่อ นางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ในพื้นที่เขต 9 จตุจักร หลักสี่ จึงอ่อนแรงลง
เป็นความอ่อนแรงขณะที่การผลักดัน นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี หรือ นายพันธุ์เทพ ฉัตรนะรัชต์ จากพรรคกล้าและพรรคไทยภักดีดูจะคึกคักมากกว่า
เช่นเดียวกับ นายสุรชาติ เทียนทอง และ นายกรุณพล เทียนสุวรรณ
