คำประกาศ “ลาออก” ของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ มีลักษณะจุด “ประเด็น”
เพราะในความคาดหมายพุ่งเป้าไปยังการลาออกจากตำแหน่ง “หัวหน้าพรรค” แต่เมื่อเป็นเพียงลาออกจากตำแหน่งอันเกี่ยวกับ “สิทธิสตรี” บางตำแหน่งเท่านั้น
พาดหัวของ “สื่อ” จึงสะท้อนความผิดหวัง
แต่ที่รุนแรง ล้ำลึกและกำลัง “ขยาย” มากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ กลับเป็นสภาพและบรรยากาศภายในพรรคประชาธิปัตย์ที่เริ่มจะร้อนแรงมากยิ่งขึ้น
เป็น “มรสุม” ที่พุ่งเป้าไปยังตำแหน่ง “หัวหน้าพรรค”
เกจิทางการเมืองเสนอให้เกาะติดบทบาทของ นายเทพไท เสนพงศ์ เป็นพิเศษ
ในเบื้องต้น นายเทพไท เสนพงศ์ อาจโพสต์ข้อความไม่แตกต่างไปจาก นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม เท่าใดนักด้วยการชม นายปริญญ์ พานิชภักดิ์
เห็นว่าการลาออกจากทุกตำแหน่งเป็นการแสดง “สปิริต”
แต่เมื่อประสบเข้ากับการโพสต์ข้อความอันดุดันปรากฏขึ้นภายใน “ไลน์กลุ่ม” ตั้งข้อสังเกตไปยังความเรียกร้องต้องการที่จะให้ปรับเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรค
ตรงนี้แหละที่บรรดา “ฉลาม” ทั้งหลายเริ่มกระสา “กลิ่น”
ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกของ นายเทพไท เสนพงศ์ หรือ นายพนิต วิกิตเศรษฐ์
ทั้งสองจับจุดใหญ่อยู่ตรงเส้นทางการเข้ามาดำรงตำแหน่ง “รองหัวหน้าพรรค” ของ นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ โยงเข้าหา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
ยก “ข้อบังคับพรรค” มาเป็น “หลักฐาน” อันเด่นชัด
ในเมื่อมีการทักท้วงจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประสานเข้ากับของ นายกรณ์ จาติกวณิช ด้วยความห่วงใย แต่ก็ไม่บังเกิดผล
ทุกอย่างล้วนมาจาก นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
การเคลื่อนไหวจาก “ภายใน” ของพรรคประชาธิปัตย์นี่แหละคือ “สัญญาณ”
ไม่เพียงเป็นสัญญาณ 1 สะท้อนให้เห็นความไม่พอใจที่ดำรงอยู่เท่านั้น หากแต่ยังเป็นสัญญาณ 1 อันทำให้ความขัดแย้งถูกขยายให้กว้างออกไปอีก
และแวดล้อมอยู่กับ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ มากยิ่งขึ้น