คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
ปัจจัย การเมือง ผลัก ธรรมนัส พรหมเผ่า จำเป็น ต้อง“สู้”
เป็นอันว่าความพยายามในการยก “มารยาท” การเมืองขึ้นมาอ้างไม่เป็นผล
ไม่ว่าจะเป็นการออกโรงของ นายอลงกรณ์ พลบุตร ไม่ว่าจะเป็นการออกโรงของ นายสาธิต ปิตุเตชะ ไม่ว่าจะเป็นการออกโรงของ นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ
เพราะพรรคพลังประชารัฐมีมติว่าจะส่งคนลงสมัคร
เป็นการส่งคนลงสมัครแม้ว่า ชุมพร เขต 1 จะเป็นของ นายชุมพล จุลใส มาก่อน แม้ว่าสงขลา เขต 6 จะเป็นของ นายถาวร เสนเนียม มาก่อน
นั่นก็คือ เป็นพื้นที่ของพรรคประชาธิปัตย์
ถามว่า “มารยาท” ทางการเมืองยังมีเหตุและความจำเป็นอยู่อีกหรือในปัจจุบัน
หากประเมินจากการเลือกตั้งซ่อมที่นครปฐม หรือขอนแก่น หรือลำปาง และกำแพงเพชรก็พอจะยอมรับได้ว่า “มารยาท” ทางการเมืองยังดำรงคงอยู่
แต่พลันที่มีการเลือกตั้งซ่อมที่นครศรีธรรมราช ก็ไม่เหลือแล้ว
เพราะแม้ว่าพื้นที่นครศรีธรรมราชจะเคยเป็นของ นายเทพไท เสนพงศ์ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ แต่พรรคพลังประชารัฐก็ดับเครื่องชนเต็มพิกัด
เป็นการสำแดงพลังของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า
ทั้งที่เป็นการเลือกตั้งเพียงเขตละ 1 คนเหตุใดจึง ไม่ยอมถอยให้กับพรรคประชาธิปัตย์
หากดูจากการถอยของพรรคภูมิใจไทย หรือพรรคชาติไทยพัฒนา ก็จะเข้าใจ ยิ่งหากฟังเสียงจากแกนนำสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ยิ่งตระหนัก
เพราะได้มาเพียง 2 คนมิได้มีความหมายอะไร มากนัก
กระนั้น หากมองจากสภาพความเป็นจริงในทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นจริงอันมากด้วยการต่อสู้ในพรรคพลังประชารัฐก็จะมองเห็นความจำเป็น
ความจำเป็นที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จักต้อง เดินหน้า
แท้จริงแล้ว ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า มิได้สู้กับพรรคประชาธิปัตย์หากแต่สู้กับคนอื่น
เป็นคนอื่นที่ทำให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ต้องพ้นจากความเป็น “รัฐมนตรี” เป็นคนอื่นที่ข่มขู่จะรุกไล่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ให้หลุดไปจากพรรคพลังประชารัฐ
ปัจจัยนี้เองผลักรุนให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ไม่อาจอยู่อย่างเป็นเป้านิ่ง