ไมตรีอัน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว มีต่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มี “ความหมาย”
พลันที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มและความเป็นไปได้ที่พรรคเพื่อไทยกับพรรคพลังประชารัฐจะร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาล
ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่
ความหมายอย่างตรงตัวก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และพรรคพลังประชารัฐจะต้องตัด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกไป
นี่คือจุดเชื่อม นี่คือเงื่อนไข
เงื่อนไขจาก นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นเงื่อนไขที่แหลมคมและร้อนแรง
หากมองจนากพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีต่อกันเป็นเวลาเกือบ 50 ปี
จาก “กองทัพ” มายัง “รัฐประหาร”
หากมองจากอำนาจที่อยู่ในมือ ไม่ว่าจะมองผ่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าจะมองผ่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ทั้งทางการเมืองการทหาร
แล้วทำไมสังคมจึงให้ความสนใจเป็นอย่างสูง
นั่นเพราะว่าคำพูดของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว มิได้เป็นการพูดอย่างเอกเทศ เป็นส่วนตัว
ตรงกันข้าม นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ดำรงอยู่ในสถานะแห่ง “ผู้นำ” ฝ่ายค้าน อันมีรากฐานมาจากการเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
ทั้งยังมีกองหลังรองรับ คือ นายสุทิน คลังแสง
ต้องยอมรับว่า สถานะทางการเมืองของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว มีหลักประกันจาก นายสุทิน คลังแสง ซึ่งเป็นประธานวิปฝ่ายค้าน
ทุกคำพูดจึงทรงความหมาย จำเป็นต้องล้างหูน้อมรับฟัง
คำพูดของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว มีความสำคัญและทรงความหมายทางการเมืองแน่นอน
แต่เนื่องจากการเมืองมิได้เป็นเรื่องของพรรคเพื่อไทย มิได้เป็นเรื่องของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อย่างด้านเดียว หากแต่ยังมีองค์ประกอบอื่นรวมอยู่ด้วย
นั่นก็คือ ยังมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นปัจจัย