ปรากฏเค้าแห่ง “ความหงุดหงิด” จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างต่อเนื่องและถี่ขึ้น
เริ่มจากความหงุดหงิดเมื่อประสบเข้ากับคำถามกรณีมีชื่อบริษัทของ “หลานชาย” เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งภายใน “ธุรกิจสีเทา” ของ “ตู้ห่าว”
เป็นเรื่องเกิดขึ้นระหว่างเดินทางไป “สิงห์บุรี”
จากนั้นก็จับความหงุดหงิดได้อีกเมื่อประสบเข้ากับคำถามในเชิงเปรียบเทียบกับบทบาทและการเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
หงุดหงิดถึงกับเดินออกจากวงสัมภาษณ์
แม้ความหงุดหงิดจะเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็น่าสนใจ
ที่ลงความเห็นว่าเป็นเรื่องปกตินั้นอาจเริ่มต้นจากความเป็นปกติของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในระหว่างดำรงตำแหน่งเป็น “นายกรัฐมนตรี”
แล้วทำไมจึงกลายเป็นเรื่องที่ “ไม่” ปกติ
ที่ไม่ปกติเนื่องจากบังเกิดขึ้นในห้วงแห่งการเข้าไปสู่ “หัวเลี้ยวใหม่” ในทางการเมือง นั่นก็คือ การเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพรรครวมไทยสร้างชาติ
บนพื้นฐานการ “ไปต่อ” ในทางการเมือง
จังหวะก้าวการเปิดตัวและเดี่ยวไมโครโฟนอย่างที่เห็นน่าจะเป็นโอกาสอันสดสวย
เป็นความสดสวยที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้แสดงตัวตนอันเป็นส่วนที่น่ารัก น่าคบหา น่าสนิทเสน่หาในทางการเมืองและวัตรปฏิบัติ
มิใช่เป็นเรื่องในแบบหงุดหงิดและงุ่นง่านอย่างที่เห็น
เพราะยิ่งหงุดหงิดก็ยิ่งเปิดช่องทางให้อากัปกิริยาที่เคยปิดบังและซ่อนเร้นได้ปรากฏและสำแดงตัวตนออกมากระทั่งเดินออกจากวงสัมภาษณ์
นี่ย่อมเป็นภาพใน “ด้านลบ” มิใช่เป็นภาพใน “ด้านบวก”
ยิ่งเข้าสู่พื้นที่ทางการเมือง ยิ่งมีความจำเป็นต้องอยู่ท่ามกลางมวลชนที่แวดล้อม
เมื่อเป็น “แคนดิเดต” นายกรัฐมนตรีก็ย่อมต้องโอภาปราศรัยกับประชาชน ย่อมต้องสร้างความชมชอบในเชิงเปรียบเทียบกับ “แคนดิเดต” นายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ
เป้าหมายของการ “ไปต่อ” จึงจะบรรลุได้ในทางเป็นจริง