เชื่อกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือหนึ่งเดียวในตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี”

ก่อนการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 พรรคพลังประชารัฐพยายามจะเสนอชื่อ นายอุตตม สาวนายน เป็นตัวเลือกที่ 2 ในฐานะหัวหน้าพรรค

แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ยอม

จึงจำเป็นที่ นายอุตตม สาวนายน ต้องร้องเพลง “ถอยดีกว่า” จึงจำเป็นที่รายชื่อแคนดิเดตของพรรคพลังประชารัฐมีเพียง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

มาถึงเดือนสิงหาคม 2565 เป็นอย่างไร

สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังเชื่อเช่นนั้นอยู่อย่างไม่แปรเปลี่ยน

แต่พลันที่มี “คำสั่ง” จากคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม “พัก” มิให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปฏิบัติงานในฐานะ “นายกรัฐมนตรี”

ตำแหน่งนี้จึงเป็นของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

แม้จะเป็นการเข้าสวมสอดในสถานะแห่ง “รักษาการ” แม้จะปฏิบัติราชการเพียง 10 กว่าวัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็พิสูจน์ออกมาได้อย่างขาวสะอาด

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สามารถและทำดีกว่าด้วย

การปฏิบัติราชการ “แทน” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จึงสำคัญ

สำคัญเพราะได้ทำลาย “มายาคติ” ที่ว่า มีแต่เพียง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้นที่มีความเหมาะสมในตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี”

มิใช่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล มิใช่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์

แต่เมื่อย่างเข้าเดือนกันยายนและเมื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ลงพื้นที่ทั้งที่ฉะเชิงเทราและที่กระบี่ ก็แสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม

มีความเหนือกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เด่นชัด

คุณูปการของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จึงทรงความหมายและมีผลสะเทือน

ทำให้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ แห่งพรรคสร้างอนาคตไทย มีความกล้า ทำให้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ผงาดที่จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

จำเป็นต้องขอบคุณ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ