กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคผิวหนัง เตือนผู้ที่ถูกตะขาบกัดควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา เพราะอาจมีความเสี่ยงจากการติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ พร้อมแนะวิธีการรักษาและการปฏิบัติตนให้ถูกวิธี
รู้จักตะขาบ
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ให้ข้อมูลว่า ตะขาบ (Centipedes) จัดอยู่ใน Class Chilopoda เป็นสัตว์ขาข้อที่พบได้ทั่วไปในแถบร้อนชื้น อาศัยอยู่บนบก ตะขาบมีขนาดความยาวลำตัวตั้งแต่ 3-8 เซนติเมตร ลำตัวแบนราบ มีปล้อง 15-100 ปล้อง แต่ละปล้องมีขา 1 คู่ ส่วนหัวแยกจากลำตัวชัดเจน มีหนวด 1 คู่ โดยมีเขี้ยวพิษ 1 คู่ ซึ่งดัดแปลงมาจากปล้องแรกของลำตัวเชื่อมต่อกับต่อมพิษ
พิษของตะขาบ
พิษของตะขาบประกอบด้วยสารสองกลุ่มใหญ่ คือ
- สารที่เป็นเอนโซน์ หรือน้ำย่อย ซึ่งสารหลักในกลุ่มนี้คือ proteinases และ esterases
- สารก่อปฏิกิริยาอักเสบต่อร่างกาย ได้แก่ hydroxytryptamine หรือ cytolysin
อาการเมื่อถูกตะขาบกัด
แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อาการเมื่อถูกตะขาบกัด จะพบรอยเขี้ยว 2 รอย ลักษณะเป็นจุดเลือดออกตรงบริเวณที่ถูกกัด สารพิษจากตะขาบจะทำให้เกิดอาการเหล่านี้ได้
- อักเสบ ปวดบวมแดง ร้อน และชาตรงบริเวณที่ถูกกัด อาการปวดมักจะมีความรุนแรงปานกลางถึงมาก
- อาจจะมีอาการปวดแปลบ (paresthesia) ร่วมด้วย
- อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนตรงบริเวณที่ถูกกัด
- อาจเป็นแผลไหม้อยู่ 2-3 วัน
- ในบางรายอาจมีอาการแพ้หรือกระวนกระวาย อาเจียน หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ มึนงง ปวดศีรษะ
วิธีปฐมพยาบาล/วิธีรักษา เมื่อถูกตะขาบกัด
ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า การรักษาพิษของตะขาบ ทำได้โดย
- ทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาดหรือสบู่อ่อนๆ
- ใช้ผ้าพันแผลพันไว้และประคบเย็น
- หากมีอาการปวด ให้รับประทานยาแก้ปวด ถ้าปวดมากอาจใช้ยาชาเฉพาะที่ เช่น Xylocane ฉีดเข้าตรงบริเวณที่ถูกกัด
- แพทย์อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อโรคถ้ามีการติดเชื้อแทรกซ้อน และสอบถามเรื่องประวัติการฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก
- ในรายที่มีอาการรุนแรง เช่น บวมมาก ปวดมาก หรือมีประวัติของการแพ้มากให้รับไว้รักษาในโรงพยาบาลทันที
การพยากรณ์โรคโดยทั่วไป ผู้ป่วยจะสามารถหายได้ตามปกติ โดยอาการปวดจะปวดมากในวันแรกๆ แต่จะหายภายใน 3-4 วันเป็นส่วนใหญ่
- 6 วิธีปฐมพยาบาล เมื่อโดน “ตะขาบ” กัด