นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ว่าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ เผยเมื่อวันพุธ (5 ก.ค.) ว่าตนหารือกับนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภาแล้ว และได้ข้อสรุปร่วมกันให้มีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันพฤหัสบดี (13 ก.ค.)
การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรึครั้งนี้เป็นการโหวตร่วมกันระหว่างสภาผู้แทนราษฎร 500 คน และวุฒิสภา 250 คน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าจะต้องได้เสียงกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมดของ 2 สภา เท่ากับว่าผู้ที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีต้องได้เสียงสนับสนุน 376 เสียงขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในอดีตเป็นเรื่องของสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น และไม่มีวุฒิสภามาเกี่ยวข้อง แต่รัฐธรรมนูญ 2560 บังคับให้ระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่มีสภาผู้แทนราษฎรชุดแรก ซึ่งก็คือตั้งแต่เดือน พ.ค. 2562 จนถึงปี 2567 จะต้องให้วุฒิสภามาร่วมโหวตด้วย
แม้ที่ผ่านมามีข้อกังวลว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล อาจไม่ได้รับเสียงสนับสนุนเพียงพอจากทั้ง 2 สภา โดยเฉพาะจากสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ทั้งหมดมาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร แต่นายวันมูหะมัดนอร์ มองว่าก็มีโอกาสเช่นกันที่อาจโหวตผ่านในครั้งเดียว
ว่าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวต่อไปว่า แต่ถ้าหากไม่ผ่านก็จะต้องพิจารณาในครั้งต่อไป และถ้านายพิธาไม่ได้ ก็ต้องหาคนมาเป็นนายกรัฐมนตรีจนได้ เพราะประเทศไทยจำเป็นต้องมีนายกรัฐมนตรีเพื่อไปบริหารประเทศ
นายวันมูหะมัดนอร์ มองว่า แม้ 8 พรรคการเมืองร่วมจัดตั้งรัฐบาลมีมติสนับสนุนพรรคอันดับ 1 ให้ได้จัดตั้งรัฐบาล แต่การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีก็เป็นเรื่องของรัฐสภาเพราะมี ส.ว. เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ถ้าหากมีแต่สภาผู้แทนราษฎรคงไม่มีปัญหา เพราะรวบรวมเสียงได้ถึง 312 เสียง ซึ่งเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรไปมากแล้ว