“วราวุธ” ลั่น ดี ผลโพล มติชน-เดลินิวส์ เป็นแรงผลักให้ ตัวเอง-พรรคชาติไทยพัฒนา ต้องทำงานหนักมากขึ้น ช่วง วันเวลาที่เหลือ เล็งใช้เวทีดีเบตชี้แจงนโยบายบนความยั่งยืนต่อประชาชน

15 เม.ย. 66 – นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา(ชทพ.)ให้สัมภาษณ์ถึงผลโพล มติชน-เดลินิวส์ สำรวจความเห็นประชาชน โดยพบว่าบุคคลที่จะสนับสนุนเป็นนายกรัฐมนตรี อันดับ 1 คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส่วนพรรคที่สนับสนุน อันดับ 1 คือพรรคเพื่อไทย ว่า

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ยอมรับในผลโพลที่ออกมา ตนเองก็เพิ่งมาเป็น หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ได้ 6 เดือนเศษ บวกกับแนวนโยบายที่พรรคชาติไทยพัฒนาได้นำเสนอในการเลือกตั้งครั้งนี้ เราเน้นเรื่องความยั่งยืนอย่างแท้จริง เพราะเราเห็นแล้วว่า เงินภาษีของประชาชนนั้น จะต้องใช้ให้คุ้มค่ากับผลตอบแทนที่รัฐบาล และประเทศชาติที่จะต้องได้

ดังนั้นแนวนโยบายของพรรคชาติไทยพัฒนา จึงเน้นความยั่งยืนและการทำให้พี่น้องประชาชนยืนได้บนลำแข้งของตนเอง โดยไม่ใช่ไปรอแบมือขอเงินจากหน่วยงานต่างๆ ซึ่งอาจจะทำให้ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย กระจายข่าวไม่ได้เร็วเท่ากับพรรคการเมืองอื่นๆ

อ่านรายละเอียดเพิ่มอีก

“เป็นผลดีในการที่มีโพลเช่นนี้ออกมา ทำให้ทั้งผู้สมัครของพรรคชทพ. และผมเอง และ พรรคชาติไทยพัฒนา จะต้องเร่งทำงานให้หนักขึ้นในเวลา 28 วันที่เหลือ เป็นแรงผลักดันให้เราต้องทำการบ้านมากขึ้น

แต่พรรคชาติไทยพัฒนา ยังยืนยัน ว่าจะยืนอยู่บนเส้นทางของความยั่งยืนของประเทศไทย จะไม่ไปเบี่ยงเบนแปลกออกมา ยืนยันเส้นทางเดิมแต่ต้องทำงานให้หนักขึ้น และทำความเข้าใจและสร้างความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนให้มากขึ้น

โดยหลังสงกรานต์นี้ บุคลากรของพรรค และผมเองมีเกินกว่า 10 เวทีดีเบตที่จะไปร่วม เราก็จะชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของนโยบายพรรคชาติไทยพัฒนา ไม่โจมตีนโยบายพรรคอื่น แต่ทำให้เห็นถึงข้อเด่น นโยบายพรรคเราคืออะไร เป้าหมายที่เราต้องการจะเห็นประเทศไทยในอนาคต 10-20 ปี ข้างหน้าเป็นอย่างไร” นายวราวุธ กล่าว

นายวราวุธ กล่าวว่า เชื่อว่าหลังวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 หลังตั้งรัฐบาล หากพรรคชาติไทยพัฒนาได้รับเชิญเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานของรัฐบาล เราจะนำเอาแนวทางความยั่งยืนของนโยบายพรรคชาติไทยพัฒนา ผนวกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ แนวทางการทำงานของรัฐบาล

และยืนยันว่า จะสะท้อนออกมาในการทำงานของบุคลากรพรรคชาติไทยพัฒนาทุกคน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทำงานอย่างนี้แล้ว ในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะสามารถทำให้พี่น้องประชาชนได้เข้าใจถึงแนวทางของชาติไทยพัฒนา รวมทั้งหวังว่า จะได้รับคะแนนนิยมมากขึ้น เพราะทุกคนได้เข้าใจว่า การทำงานจะต้องคิดถึงรุ่นลูกหลาน ไม่ใช่คิดถึงรุ่นเราอย่างเดียว