เจ้าสาวกินข้าวอำลาก่อนขึ้นรถไปอยู่บ้านสามี คำพูดแม่ทำชาวเน็ตโกรธ คอมเมนต์แขวะ “เหมือนสมัยศักดินา”

งานแต่งงานในพื้นที่ชนบทของมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน ตกเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ เมื่อแม่เจ้าสาวเตรียม “มื้ออำลา” และเตรียมคำพูดไว้สอนลูกสาว ก่อนส่งขึ้นรถกลับไปยังบ้านสามี

อาหารมื้อนี้เกิดขึ้นในระหว่างที่เจ้าบ่าวกำลังเดินทางมารับเจ้าสาว ในภาพที่เผยแพร่ออกมาจะเห็นว่า  เจ้าสาวสวมชุดแต่งงานแบบดั้งเดิม กำลังนั่งรับประทานอาหารร่วมกับน้องชาย ขณะที่แม่ของเธอนั่งอยู่ข้างๆ คอยคีบอาหารให้ลูกทั้งสองคน หลังจากทานอาหารมื้อนี้จบลง พี่สาวก็จะ “แต่งงาน” อย่างเป็นทางการ และติดตามสามีกลับไปเป็นสะใภ้ที่บ้านหลังนั้น

ในบางท้องที่ของมณฑลกวางตุ้ง มีประเพณีแต่งงาน โดยให้พี่น้องในครอบครัวกินอาหารด้วยกันเป็นมื้ออำลา ก่อนที่ลูกสาวจะแต่งงานออกไปเป็นสะใภ้ที่บ้านสามี ไม่ได้อยู่อาศัยที่บ้านของครอบครัวอีกต่อไป บ้านเดียวกันกับพี่น้องของเขา ขณะเดียวกันเมื่อลูกสาวจะแต่งงานออกไป พ่อแม่ก็ต้องเตรียมสินสอด (เครื่องประดับ) เอาไว้ให้ด้วย ซึ่งถือเป็นการแบ่งมรดกกับพี่น้องคนอื่นๆ ก่อนที่จะออกไปเป็นคน “ของบ้านอื่น”

อย่างไรก็ดี ชาวเน็ตหลายคนแสดงความรู้สึกไม่สบายใจ หลังจากได้รับรู้เกี่ยวกับรายละเอียดในมื้ออาหารนี้ โดยมองว่าแม้ขนบธรรมเนียมและประเพณีดั้งเดิมควรได้รับการอนุรักษ์ไว้ แต่ก็ไม่ควรเข้มงวดมากนัก เนื่องจากในระหว่างที่ผู้เป็นแม่กำลังคืบอาหารให้ลูกสาว ก็คอยพูดย้ำเตือนให้เข้าใจกฎเกณฑ์และมารยาท ต้องเคารพพ่อแม่ของสามีที่ เป็นลูกสะใภ้ที่ดี และถึงกับมีประโยคที่บอกว่า “แต่งงานออกไปแล้ว เมื่อกลับบ้านเธอจะกลายเป็นแขก”

ชาวเน็ตต่างตอบโต้อย่างรุนแรงต่อวิธีคิดของคุณแม่คนนี้ หลายคนรู้สึกไม่พอใจ และบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นครอบครัวที่อาศัยอยู่ในยุคปัจจุบัน แต่ยังคงทำตัวเหมือนยุค “ศักดินา”

“ยุคไหนแล้ว ทำไมผู้หญิงจะแต่งงานยังต้องเป็นแบบนี้อีก? ครอบครัวยังคงเป็นครอบครัว ทำไมเราต้องบอกลา?”

“มื้ออำลา? ฟังดูเศร้าเล็กน้อย แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง การแบ่งทรัพย์สินที่ชัดเจนเช่นนี้ก็ช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆ มากมายที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง”

“ประโยคนี้เป็นจริงดั่งสุภาษิตที่ว่า ลูกสาวที่แต่งงานก็เหมือนน้ำที่ถูกสาดทิ้งไป เธอกลายเป็นแขกในบ้านของพ่อแม่ตัวเอง”

“กินอาหารและแบ่งทรัพย์สิน แล้วกลายเป็นคนแปลกหน้า”

“ธรรมเนียมหลายอย่างไม่เหมาะกับยุคสมัยอีกต่อไป เราควรละทิ้งมันไป ถ้าแต่งงานแล้วกลายเป็นคนแปลกหน้า เป็นแขกเมื่อกลับมาบ้านพ่อแม่ งั้นจำเป็นต้องแต่งงานไหม?”

“การมองเจ้าสาวนั่งกินข้าวด้วยสีหน้าเศร้าใจก็เพียงพอที่จะเข้าใจว่าคำพูดของคุณแม่จริงจังแค่ไหน มันฟังดูขมขื่นมาก”

อย่างไรก็ดี แม้ว่าความคิดเห็นมากมายพุ่งตรงไปที่การวิจารณ์ผู้เป็นแม่ แต่ชาวเน็ตหลายคนก็ออกมาพูดปกป้องเพราะเชื่อว่าแม่เป็นเพียง “เหยื่อ” ของวิธีคิดและประเพณีท้องถิ่นนี้ เมื่อตอนที่เธอแต่งงาน แม่ของเธอก็คงพูดแบบเดียวกันนี้กับเธอด้วยเช่นเดียวกัน