วันที่ 17 พ.ค.67 นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และนายบุญเชิด กิตติธรางกูร ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดปทุมธานี ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบกรณีเด็กเชื่อมจิต แถลงข่าว
นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า จากกรณีดังกล่าว ทางสำนักงานพระพุทธศาสนา ไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการติดตามสถานการณ์มาตั้งแต่ต้น โดยมีกลุ่มงานคุ้มครองพระพุทธศาสนาได้มีการรวบรวมข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ได้มีการขอคำปรึกษาจากมหาเถรสมาคม ถึงผลกระทบซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน จะส่งผลต่อเด็กและครอบครัว ขณะนี้ได้มีการได้ตั้งคณะกรรมการทำงานตรวจสอบ กลั่นกรอง ข้อมูล ข่าวสาร และ การกระทำอันอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา โดยมีนายบุญเชิด กิตติธรางกรู เป็นประธาน
นายอินทพร ยังระบุว่า แม้ว่าทางสำนักพุทธจะไม่ได้มีอำนาจในการห้าม แต่ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอด โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีการยกระดับกระบวนการที่มาตามกระบวนการทางกฎหมายตามที่หน่วยงานนั้นๆ รับผิดชอบ ซึ่งขณะนี้มีองค์กรภาคเอกชนยื่นเรื่องไปยังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของสำนักพระพุทธศาสนาให้ความกระจ่าง และข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ซึ่งในวันนี้จะนำผลหลังการตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวรายงานต่อมหาเถรสมาคม รับทราบ ซึ่งจะมีแนวทางการดำเนินการอย่างไรต่อไป
ขณะที่นายบุญเชิด ระบุว่า จากการสืบค้นข้อมูลในพระไตรปิฎก การเชื่อมจิตไม่ปรากฏในพระไตรปิฎกแต่อย่างใด และยังขัดต่อหลักธรรมคุณ 6 ประการ แต่ยอมรับว่ามีความพยายามเทียบเคียงในพระไตรปิฎก ว่าสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าได้ตรัส สนทนาธรรม ต่ออรหันต์ข้ามวันข้ามคืน พร้อมกับมองว่า คำกล่าวอ้างของเด็กต่างๆ ขอให้ต้องนึกถึงว่าพระพุทธศาสนานั้นเป็นหลัก แห่งความจริง และความรู้
ส่วนคุณวุฒิที่เด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ อยู่ในการปกครองของบิดา มารดา และไม่ได้มีการเรียนพระปริยัติธรรม กลับมีการแสดงออกต่อสาธารณะในลักษณะดังกล่าวทำให้เกิดความเชื่อ นายบุญเชิด ยืนยันว่า ไม่ปรากฏในพระไตรปิฎก ว่าเป็นจริงหรือเท็จ เป็นเรื่องไม่จริงเนื่องจากในนิกายเถวาทไม่มีในพระไตรปิฎก แต่ในฝ่ายมหายานก็อาจจะมีการ แต่ในไทยยึดเถรวาทเท่านั้น
เมื่อถามว่ากระทำในลักษณะดังกล่าวผิดกฎหมายหรือไม่ นายพิชิต กล่าวว่า เรื่องกฎหมายบ้านเมืองเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งตำรวจที่รับเรื่องราวร้องทุกข์ไว้การละเมิดกฎหมายบ้านเมืองเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาว่ามีใครเสียหายหรือไม่อย่างไร ซึ่งสำนักงานพระพุทธศาสนา ในฐานะที่เป็นองค์กรศึกษาปกป้องพระพุทธศาสนาไม่ให้เกิดการผิดเพี้ยนได้มายืนยันอย่างนี้แล้ว โดยยืนยันได้ในระดับหนึ่งแล้ววันนี้ว่าสิ่งที่แถลงพนักงานสอบสวนสามารถนำไปเป็นพยานหลักฐาน ส่วนใครจะเสียหายหรือไม่อะไรอย่างไร ก็เป็นเรื่องของพนักงานสอบสวน
ส่วนเด็กหรือครอบครัวกรมกิจการเด็กฯไม่ได้ละเลย มีการยกระดับแล้ว ขอยืนยันว่าต่อไป องค์กรที่บังคับใช้กฎหมายจะเป็นผู้ตรวจสอบว่าใครเสียหาย ซึ่งไม่ได้อยู่ในภารกิจของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
ขณะเดียวกัน นายอินทพร ยืนยันว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาไม่มีอำนาจที่จะเรียกผู้ปกครองหรือเด็กมาชี้แจงทำความเข้าใจได้ แต่หากเป็นพระภิกษุสงฆ์ก็จะแจ้งคณะผู้ปกครองให้ดำเนินการ พร้อมกับระบุว่า ที่ผ่านมา ในพื้นที่มีการพยายามเจรจาทำความเข้าใจ แต่ไม่ได้รับความร่วมมือกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แล อำนาจหน้าที่ไม่สามารถห้ามระงับยับยั้ง บุคคลหรือกลุ่มบุคคล เผยแพร่หลักคำสอนที่อาจจะคลาดเคลื่อนได้ ซึ่งอำนาจจะต้องส่งต่อไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยการแถลงข่าวและการประชุมของเถรสมาคมจะเป็นข้อยืนยัน ที่สามารถนำไปใช้ประกอบ
ด้วยนายพิชิต ยังกล่าวอีกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ตนจะทำงานเชิงรุก หากใครอ้างภินิหารอีกใน 7 วัน สำนักพุทธฯต้องตอบให้ได้ เราพร้อมให้ความร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้ กฎหมายเนื่องจากรัฐธรรมนูญ มีผลคุ้มครองสิทธิ แต่เรื่องความเชื่อความศรัทธาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่วันนี้เป็นเรื่องการออกมายืนยันว่าไม่มี ขอให้สบายใจได้ว่า หารือผอ. สำนักพุทธ ฯ ช่วยกันหลอมลวมน้ำใจ หลักกฎหมายพนักงานสอบสวนหากเชิญสำนักพุทธ ไปเป็นพยานก็พร้อมที่จะเป็นหนึ่งในองคาพยพที่สุดความจริง แต่การบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวข้องกับ กฎหมายทางอาญาไม่มีอำนาจออกหมายเรียกคนใด เน้นย้ำว่ากระบวนการยุติธรรมทางอาญาเป็นเรื่องของผู้บังคับใช้กฎหมายบ้านเมือง พร้อมกล่าวว่าสาเหตุที่ตำรวจไม่มาแถลงข่าวด้วยเนื่องจากต้องทำตัวให้เป็นกลาง เป็นหน้าที่พนักงานสอบสวนต้องไปหาหลักฐาน
เมื่อรัฐบาลเห็นว่าบิดเบือนจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบ นายพิชิต กล่าวว่า ณ เวลาที่ตนทำงานอยู่สัญญาแล้วว่า 7 วัน จะต้องได้คำตอบ จะทำทุกอย่าง สู้
ส่วนที่ไม่สามารถยับยั้งการเผยแพร่คำสอนของเด็กเชื่อมจิต ได้นั้น นายพิชิต กล่าวว่าในฐานะที่ตนเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นคนทำงานคนหนึ่ง ตนพร้อมที่จะไปเรียนหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อระงับยับยั้ง ในเมื่อวันนี้ ได้มีการแถลงความจริงทั้งหมดแล้วตนก็มั่นใจในสำนักงานพระพุทธศาสนา และมีความเชื่อว่า การเชื่อมจิตไม่มีอยู่จริง เมื่อสำนักงานพระพุทธศาสนายืนยันเช่นนี้ ตนในฐานะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีก็ยืนยันตามนั้น
ส่วนกรณีที่ครอบครัวยังคงเดินหน้าฟ้องสำนักงานพม จะมีแนวทางการป้องกันการฟ้องร้องอย่างไร นายพิชิต กล่าวว่าห้ามคนฟ้องห้ามไม่ได้ แต่ต้องไปพิสูจน์กันในกระบวนการยุติธรรม ใครจะฟ้องใครห้ามไม่ได้จริงๆ ตนขอตอบตามเหตุตามผล
ส่วนที่วานนี้มีการเผยแพร่ข่าวว่า แดนธรรมสุขขาววะดี บ้านโนนตาแสง หมู่ 6 ต.กลางใหญ่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี มีการรักษาโรคให้กับชาวบ้านด้วยพลังคลื่นพระเจ้า 5 นั้น นายอินทรพร กล่าวยืนยันว่าไม่ใช่สำนักสงฆ์ ไม่ใช่สถานที่ปฏิบัติธรรม แต่เป็นสถานที่ของเอกชน ตั้งชื่อว่าแดนสุขาวดี อยู่ที่อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ไม่มีพระภิกษุรูปใดเข้าไปเกี่ยวข้อง โดยได้มีการแจ้งห้ามพระภิกษุในเขตจังหวัดหรือพื้นที่ใดก็ตามเข้าไปเกี่ยวข้อง ส่วนการรักษาโดยอ้างพระเจ้าห้าพระองค์ทางจังหวัดได้ให้ทางสาธารณสุขบูรณาการการทำงานร่วมกัน ที่จะลงพื้นที่ว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวเกิดขึ้นและเป็นไปตามมาตรฐานสาธารณสุขหรือไม่
นายพิชิต ยังระบุอีกว่า จากที่มีการหารือกับผอ.สำนักพระพุทธศาสนาจังหวัดทั่วประเทศมาทำความเข้าใจ และมอบนโยบาย พร้อมระบุว่า “สำนักพุทธฯทำงานจริงจัง คบได้จริงใจ” โดยตนจะเชิญมาในวันที่ 29 พฤษภาคมนี้ เวลา 10.00 น. ที่ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พุทธมณฑลสาย 4