ลูกชาย วิทยา ศุภพรโอภาส ฟ้องโรงพยาบาล 191 ล้าน

Home » ลูกชาย วิทยา ศุภพรโอภาส ฟ้องโรงพยาบาล 191 ล้าน


ลูกชาย วิทยา ศุภพรโอภาส ฟ้องโรงพยาบาล 191 ล้าน

ลูกชาย วิทยา ศุภพรโอภาส ฟ้องโรงพยาบาล 191 ล้าน เชื่อสาเหตุการตายของพ่อมีข้อบกพร่อง

ลูกชาย วิทยา / วันที่ 23 มี.ค. ที่ ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ถนนเจริญกรุง นายศุภวิทย์ ศุภพรโอภาส หรือ เป้ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กซ์เพรส เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด พร้อมด้วยทนายความผู้ได้รับมอบอำนาจ นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ที่เดินทางมายื่นฟ้องต่อศาล ถึงกรณีการเสียชีวิตของ นายวิทยา ศุภพรโอภาส นักจัดรายการวิทยุชื่อดัง ที่ก่อนหน้านี้ นายศุภวิทย์ ได้ออกมาเปิดเผยว่า คุณพ่อ(นายวิทยา) ไม่ได้เสียชีวิตด้วยอาการจากโรคมะเร็งปอด แต่เกิดจากการผิดพลาดในการช่วยชีวิต

ลูกชาย วิทยา

โดย นายศุภวิทย์ และ ทนายความได้ให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์ถึงเรื่องที่วันนี้เดินทางมาที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เพื่อยื่นฟ้องโรงพยาบาบลแห่งหนึ่งว่า

นายศุภวิทย์ “วันนี้มาเรื่องการเสียชีวิตของคุณพ่อ (นายวิทยา) คุณพ่อได้เข้าทำการผ่าตัดรักษามะเร็งปอด และเราเชื่อว่าน่าจะเกิดข้อผิดพลาด เราใช้เวลาใกล้ครบ 1 ปี เราได้นำปรึกษาทั้งในข้อเท็จจริงต่างๆ ทั้งกับทีมทนายและบุคลากรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ดูข้อเท็จจริง ดูรายงานต่างๆ ของทางโรงพยาบาลและของทางคุณหมอทั้งหมด เราเชื่อว่าน่าจะมีข้อผิดพลาด ไม่ว่าจะเป็นทางทีมแพทย์ก็ดี ทางคุณหมอก็ดี ทางโรงพยาบาลและบุคลากรที่เกี่ยวข้องก็ดี น่าจะมีการผิดพลาดในขั้นตอนการรักษา ทำให้เชื่อได้ว่าน่าจะเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้ถึงแก่ความตาย”

ผิดพลาดอย่างไร ทราบหรือไม่? นายศุภวิทย์ “มีหลายๆ ส่วน ทั้งเรื่องขั้นตอนที่เริ่มจากวิธีการผ่าตัดรักษาว่าสมควรไหม ขั้นตอนที่คุณพ่อผ่าตัดมาฟื้นแล้ว พูดคุยได้แล้วและเกิดเหตุวิกฤตขึ้น ขั้นตอนเหล่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร มีบุคลากรในการช่วยชีวิตว่ามีความน่าสงใสในข้อบกพร่อง ไม่อย่างนั้นคุณพ่อคงไม่เสียชีวิตไป และมีเรื่องจั้นตอนในการย้ายโรงพยาบาล อุปกรณ์ไม่มีต่างๆ นานา เป็นเหตุทำให้เราเชื่อว่ามีจุดบกพร่อง น่าจะมีจุดบกพร่องเหล่านี้อยู่ เราจึงต้องการนำเสนอข้อเท็จจริงที่เราค้นพบเข้านำเสนอต่อศาล เพื่อให้ดูว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างนี้ ก็ต้องพึ่งกระบวนการของศาลว่าจะนำสืบอย่างไร”

ลูกชาย วิทยา

สามารถเปิดเผยถึงข้อมูลที่พบเจอได้ไหม? ทนาย “วันนี้บรรดาข้อเท็จจริงต่างๆ มันจะได้ข้อเท็จจริงที่นำเสนอสื่อได้เท่านั้น ลงรายละเอียดต่างๆ พูดไม่ได้เลย เพราะทุกอย่างอยู่ในกระบวนการที่ทีมทนายความและโจทก์ได้พยายามหาข้อมูลในสิ่งต่างๆ ที่โรงพยาบาลก็ดี หรือสื่อการแพทย์ก็ดีอยู่ในสำนวนแล้ว และข้อสรุปว่าการเสียชีวิตของคุณวิทยาน่าจะเกิดจากความผิดพลาด บกพร่อง หรือจะร้ายแรงถึงประมาทเลินเล่อด้วยหรือเปล่าก็เป็นเรื่องที่โจทก์เองประสงค์ที่จะนำเรื่องดังกล่าวมาสู่การพิจารณาของศาล เพื่อพิสูจน์กันว่าหากโรงพยาบาลได้ทำหน้าที่ที่ดีที่สุดแล้ว ชัดเจนว่าเป็นการถูกต้องของโรงพยาบาลก็นำมาเข้ากระบวนการสู้กัน แต่ส่วนเราเองก็จะมีข้อเท็จจริงทั้งหมดอยู่ในสำนวนที่ผมมายื่นฟ้องและศาลรับฟ้องแล้ว ว่าเป็นเรื่องที่มีขั้นตอนๆ ออกมา หลังจากคดีมีคำพิพากษาครับ สุดท้ายว่าใครจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้”

วันนี้ฟ้องอะไรบ้าง? ทนาย “วันนี้ในสำนวน มีโจทก์คือคุณเป้ จำเลยคือโรงพยาบาลและแพทย์ที่ผ่าตัด ที่จะต้องรับผิดชอบ เราฟ้องคดีแพ่ง เราไม่ได้ฟ้องคดีอาญาว่าโรงพยาบาลประมาทเลินเล่อทำให้คุณวิทยาเสียชีวิตนะ ที่ละเมิดเราต้องรู้ว่าละเมิดอะไร เสียหายหมด ครอบครัว ธุรกิจ มันแย่ไปหมด วันนี้โจทก์มอบหมายให้ฟ้องเป็นค่าเสียหายประมาณ 191 ล้านเศษๆ เนื่องจากคุณวิทยาเองเป็นบุคลากรที่มีต้นทุนทางสังคมค่อนข้างสูง มีธุรกิจเยอะแยะไปหมด ในสำนวนจะบรรยายทั้งหมด ข้อหาความจำเป็นต้องเรียกเงินทุกอย่างอยู่ในสำนวนหมด”

เกือบ 1 ปีมี่ผ่านมา โรงพยาบาลติดต่อมาบ้างไหม? นายศุภวิทย์ “เมื่อครั้งที่คุณพ่อเสียชีวิตมีติดต่อมา ติดต่อมาเพื่ออธิบายต่างๆ ให้ฟัง และบอกว่าขั้นตอนต่างๆ ที่รักษา “ทำดีที่สุดแล้ว” ซึ่งในช่วงนั้นเรายังไม่ได้อะไรมากเพราะเป็นช่วงแรกๆ แต่พอหลังจากจัดงานคุณพ่อเสร็จก็มาดูรีพอร์ตต่างๆ ของโรงพยาบาล ของไอซียู ก็ทำให้เราเชื่อว่ามันว่า ไม่น่าจะได้ดีที่สุด มันควรจะได้ดีกว่านี้”

ลูกชาย วิทยา

1 ปีที่ผ่านมา พยายามรวบรวมข้อมูลทั้งหมด? นายศุภวิทย์ “ใช่ครับ (ครั้งนั้นครั้งเดียว?) ไม่มีครับ ไม่มีการคุยใดๆ เลย (โรงพยาบาลมีแสดงความรับผิดชอบอื่นๆ อีกไหม?) นายศุภวิทย์ “ไม่มีเลยครับ ก็จบอยู่ที่ว่า ทำทุกอย่างถูกต้องและทำดีที่สุดแล้ว”

ทางโจทก์มีการติดต่อไปที่โรงพยาบาลบ้างไหม? นายศุภวิทย์ “ไม่ได้ติดต่อครับ เพระว่าเราติดต่อเบื้องต้น ก็ได้เอกสารต่างๆ มา ทางโรงพยาบาลให้มา ทั้งรีพอร์ตต่างๆ ในการรักษา เราก็นำมาศึกษาค้นหาความจริงกัน”

เอาสารได้มาคิดว่าครบถ้วนไหม? นายศุภวิทย์ “น่าจะครบครับ (ทีมของเราอ่านแล้ว?) ก็มีจุดบกพร่องหลายอย่างเลย จนทำให้เป็นที่มาของวันนี้ ว่าเราเห็นจุดบกพร่องและข้อสงสัยว่ามีข้อนี้ 1234 ข้อนี้ทำไมไม่เป็นแบบนี้ เราถึงนำมาฟ้องครับ”

อยากบอกอะไรกับทางโรงพยาบาลหรือกับสังคมถึงเรื่องนี้อย่างไร? นายศุภวิทย์ “ไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับใครอีกนะครับ จริงๆ มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ซึ่งเรื่องเล็กๆ ซึ่งหายแล้ว (คุณพ่อหายแล้ว) โอเคถ้าคุณพ่อเสียชีวิตระหว่างการผ่าตัดเรื่องทั้งหมดก็จะจบไป ก็เหมือนกับบุคคลธรรมดาทั่วไปที่เข้ารับการรักษา แต่นี่ฟื้นแล้ว รู้สึกตัว พูดคุยได้แล้ว อ้าวแล้วทำไมปล่อยให้เป็นแบบนี้ ซึ่งตรงนี้ก็น่าจะเป็นตัวอย่างว่ามันไม่ควรเป็นแบบนี้ ชีวิตคนน่าจะดูแลให้ดีที่สุดครับ”

ในกรณีแบบนี้ทางโรงพยาบาลเขาสู้ยังไงได้บ้าง ที่เราจะต้องเตรียมรับมือ? ทนาย “เป็นเรื่องที่เขาถูกกล่าวหาเขาก็คงต้องมีเหตุผล การฟ้องโรงพยาบาลต้องเรียนว่ามันยากเย็นมากนะ เรื่องนี้ผมบอกคุณเป้แล้ว ว่าทะเลาะกับโรงพยาบาลเนี่ย โอกาสชนะน้อยมาก เพราะว่าหนึ่งเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ สองพี่วิทยาไปตายในโรงพยาบาลเขา ไม่ได้ตายที่บ้านเรา เพราะฉะนั้นตอนนี้โอกาสที่เราจะแสวงหาความยุติธรรมได้ เราคงไม่ได้มุ่งหวังอะไรมาก เราเพียงแต่เอาความจริงไปบอกศาล แล้วคำพิพากษาจากศาลจะเป็นตัวชี้แจงเจตนา ว่าสรุปแล้วสิ่งที่เราคิดมันถูกหรือผิดอย่างไร”

ลูกชาย วิทยา

ทนาย “ผมขอเสริมนิดเดียวนะครับ ว่าผมเองในฐานะทนายความแล้ว ยังเป็นเพื่อนคุณวิทยามาตั้งแต่ 30-40 ปีแล้ว เราเที่ยว เราดื่ม เราเล่นกอล์ฟกัน เดือนมีนาคมก่อนจะเสียชีวิต เราไปตีกอล์ฟกันกลางวันร้อนๆ นี่เลย พอกลางคืนก็นั่งคุยกัน แกคุยว่าหลังจากวันนี้ เดือนมีนาคมผมจะเข้าโรงพยาบาล ผ่าตัดแป๊บเดียว แล้วเดี๋ยวเราเจอกัน คุณวิทยายังบอกว่าเชื่อใจโรงพยาบาลนี้ เราก็บอกว่าโอเคพี่ พี่ตีกอล์ฟ 2 วันติดแบบนี้ พี่ไม่แข็งแรงผมก็ว่าแย่แล้ว ผมเชื่อมั่นว่าเราต้องได้เจอกัน แต่หลังจากนั้นเดือนเมษายน ทราบจากเป้ ว่าไปนอนอยู่โรงพยาบาลจุฬาฯ ก็มาไล่ขอเท็จจริงจนเป็นเหตุวันนี้”

นายศุภวิทย์ “เราได้เจอคลิปในมือถือคุณพ่อ ที่ท่านถ่ายเล่นไว้ในวันที่ 25 มีนาคม คือ 1 สัปดาห์ก่อนคุณพ่อเข้าผ่าตัด เดี๋ยวผมจะโพสต์ไว้เฟซบุ๊กคุณพ่อครับ”

ทนาย “สิ่งหนึ่งที่ผมจำเป็นต้องเรียน คือคนสุขภาพดีขนาดนี้ พอบอกว่าปลอดภัยแล้วมาเสียชีวิต ผมไม่ได้เป็นครอบครัวผมก็สงสารนะ แต่หลังจากที่ผมเรียนคุณเป้ ว่าถ้าหากคิดจะฟ้องโรงพยาบาล คุณต้องมีข้อเท็จจริงที่ดีที่สุด คุณอย่าซี้ซั้วฟ้องเขา ถ้าเขาทำหน้าที่ดีที่สุดแล้วเนี่ย เราไม่ควรจะไปแตะเขาเลย มันจะเสียชื่อเสียงเขา แต่เมื่อเรามีเหตุผล มีเหตุการณ์ มีรายงานหมอ มีบันทึกในการเกิดเหตุในวันดังกล่าว ก็เลยสรุปกันได้ว่า มันน่าจะมีเหตุที่นำเรื่องนี้มีสู่ศาลได้”

เสี่ยงที่จะถูกฟ้องกลับไหม? ทนาย “ไม่หรอกครับ ถ้าเราพูดเรื่องจริง เราไม่ได้กล่าวหา ว่าเป็นความผิดของโรงพยาบาล เพียงแต่เราบอกว่าทางครอบครัวคุณเป้ สงสัยการเสียชีวิต วันนี้เราก็ไม่ได้บอกว่าโรงพยาบาลเป็นคนผิดนะครับ เพราะถ้าไม่มีชื่อเสียง ไม่เป็นที่ยอมรับ คุณวิทยาคงไม่เข้าโรงพยาบาลนี้ เพียงแต่วันนี้ก็มาพิสูจน์กัน สุดท้ายถ้ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง กระบวนการก็ว่าไปตามกฎหมาย”

อะไรที่ทำให้เรามั่นใจว่าสิ่งที่เราทำจะเกิดผล ทั้งๆ ที่รู้ว่าการฟ้องโรงพยาบาลมันยาก? นายศุภวิทย์ “คือข้อเท็จจริงครับ ข้อสงสัยต่างๆ เราคงไม่ลงลึกในรายละเอียด แต่มันต้องมีคำตอบให้ ซึ่ง ณ วันนี้ไม่มีคำตอบให้ในข้อสงสัยที่เกิดขึ้น”

ศาลนัดอีกครั้งเมื่อไหร่? ทนาย “เรายื่นแล้วเมื่อเช้านี้ กระบวนการรับฟ้องเรียบร้อย ศาลจะนัดนัดแรกในวันที่ 15 พฤษภาคม นัดทั้งสองฝ่ายมาไกล่เกลี่ย อาจจะมีการพูดคุยกันก็ได้นะครับ แต่ยืนยันนะครับ ว่าโรงพยาบาลยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ท่านยังไม่ได้ถูกกล่าวหาว่าท่านเป็นคนกระทำความผิดนะครับ”

ความหวังคุณศุภวิทย์ อยากให้เรื่องนี่สิ้นสุดตรงไหน? นายศุภวิทย์ “ก็เป็นไปตามข้อเท็จจริงครับ วันนี้เราก็พึ่งอำนาจของศาล เราก็ได้คำตอบกันมา ไม่ว่าคำตอบมันจะเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นไปตามนั้นครับ”

ทั้งนี้ คุณศุภวิทย์ ศุภพรโอภาส และครอบครัว ได้มีข้อสงสัยพร้อมตั้งข้อสังเกตถึงกรณีการเสียชีวิตของ คุณวิทยา ศุภพรโอภาส ไว้ดังนี้ เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2565 หลังเข้ารับการผ่าตัดชิ้นเนื้อมะเร็งปอดทั้งสองข้าง ที่โรงพยาบาล BNH เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2565 นั้น คุณศุภวิทย์ บุตรนายวิทยา และญาติ ต่างติดใจสาเหตุการเสียชีวิตของนายวิทยา เนื่องจากคุณวิทยาได้ตรวจรักษาที่โรงพยาบาล BNH เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัดเป็นอย่างดี และทีมแพทย์ประเมินแล้วว่าทำการผ่าตัดที่โรงพยาบาล BNH ได้ ซึ่งหลังการผ่าตัด คุณวิทยาปลอดภัยสามารถทักทายกับญาติได้ โดยพักรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู

แต่ปรากฏว่าคืนวันเดียวกันนั้น คุณวิทยามีอาการวิกฤตจนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่อาการไม่ดีขึ้น จนต้องขอยืมเครื่องพยุงปอดและหัวใจ (ECMO) มาจากโรงพยาบาลจุฬาฯ ซึ่งใช้ระยะเวลาขนย้ายเครื่องมาประมาณ 3 ชั่วโมง จึงได้ใช้ในการช่วยเหลือชีวิตคุณวิทยา แต่ก็ต้องย้ายคุณวิทยา ไปที่ห้องไอซียู ของโรงพยาบาลจุฬาฯ ในที่สุด จน 48 ชั่วโมงต่อมา ทางทีมแพทย์ได้ยืนยันว่า คุณวิทยาสมองตาย จากนั้นในวันที่ 18 เมษายน 2565 คุณวิทยาก็จากไปอย่างสงบ

หลังคุณวิทยาเสียชีวิต ทางโรงพยาบาล BNH ได้เรียกทางครอบครัวเข้าไปพูดคุยและแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ปฏิเสธความรับผิดชอบทั้งหมด โดยแจ้งว่า ทางโรงพยาบาล BNH ได้ทำตามขั้นตอนและมาตรฐานต่าง ๆ แล้ว แต่คุณศุภวิทย์และญาติ ต่างติดใจถึงสาเหตุการเสียชีวิตของคุณวิทยา โดยมีข้อสงสัยหลายประการ คือ

(1) การประเมินของทีมแพทย์ผ่าตัด ที่ให้ทำการผ่าตัดปอดทั้งสองข้างพร้อมกันได้ มีความถูกต้อง และได้เตรียมความพร้อมหลังผ่าตัดไว้แค่ไหน

(2) เมื่อการผ่าตัดเสร็จสิ้น และคุณวิทยาฟื้นแล้ว เกิดเหตุการณ์อะไร ที่ทำให้คุณวิทยาอยู่ในภาวะวิกฤตอีก จนถึงขั้นต้องทำการช่วยชีวิต (ทั้งที่ห้องไอซียู ต้องมีผู้ดูแลใกล้ชิด พร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิตที่ครบถ้วน)

(3) การช่วยชีวิตคุณวิทยาในห้องไอซียูของโรงพยาบาล BNH เป็นอย่างไร (การใช้เครื่องช่วยหายใจ ส่งผลกระทบต่อปอดที่ทำการผ่าตัด จนปอดฉีก มีเลือดออก ถูกต้อง หรือสมควรหรือไม่) ทำให้สมองคุณวิทยาขาดออกซิเจน จนถึงขั้นวิกฤตหรือไม่

(4) เมื่อคุณวิทยามีอาการวิกฤตแล้ว และต้องใช้เครื่องพยุงปอดและหัวใจ (ECMO) แต่โรงพยาบาล BNH ต้องขอยืมและขนย้ายเครื่อง ECMO มาจากโรงพยาบาลจุฬาฯ โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง

 

เหตุใดจึงไม่มีการเตรียม เครื่อง ECMO ไว้ที่โรงพยาบาล BNH ตั้งแต่แรกและเครื่อง ECMO มาถึงช้าเกินไปหรือไม่ เพราะอะไรจึงต้องรอเครื่อง ECMO ถึง 3 ชั่วโมง และเมื่อเครื่อง ECMO มาถึงแล้ว ทำไมต้องย้ายคุณวิทยาไปที่โรงพยาบาลจุฬาฯอีก หากไม่มีเครื่อง ECMO ที่โรงพยาบาล BNH ตั้งแต่แรก ควรทำการผ่าตัดคุณวิทยาหรือไม่

ตามเหตุผล ข้อเท็จจริงและข้อสงสัยที่กล่าวมาแล้วข้างต้น คุณศุภวิทย์และครอบครัว จึงขอเรียกร้องความเป็นธรรม ถึงเหตุจากการเสียชีวิตของคุณวิทยา ศุภพรโอภาส ว่าเกิดจากความบกพร่อง หรือประมาทเลินเล่อของทางโรงพยาบาล BNH และผู้เกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างไร

ในวันนี้ คุณศุภวิทย์ ในฐานะตัวแทนครอบครัวศุภพรโอภาส และตัวแทน บริษัท เอ็กซ์เพรส เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด จึงได้ยื่นฟ้องโรงพยาบาล BNH (บริษัท บีเอ็นเอช เมดิเคิล เซ็นเตอร์ จำกัด) และผู้เกี่ยวข้อง ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ในข้อหาหรือฐานความผิด ละเมิด ตัวการ ตัวแทน และเรียกค่าเสียหาย เป็นทุนทรัพย์ 191 ล้านบาทเศษ เพื่อให้ศาลพิจารณาและมีคำพิพากษาต่อไป ลงวันที่ 23 มีนาคม 2566

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ