เรื่องราวของครอบครัวนางหวังจือเซี่ยที่แชร์บนโซเชียลมีเดียนั้นเป็นบทเรียนให้กับหลายคน
เมื่อหกปีก่อน หลี่หมิง ตัดสินใจออกจากหมู่บ้านเล็กๆ ในมณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน ไปทำงานในเมืองเซินเจิ้น เขาหวังที่จะเปลี่ยนชีวิตของตัวเอง มีฐานะการเงินที่ดีขึ้นเพื่อช่วยเหลือครอบครัว และให้แม่ของเขา นางหวังจือเซี่ย มีชีวิตที่สบายมากขึ้น
หลังจากย้ายมาเมืองใหญ่ เขาก็ได้งานดีมีรายได้สูง และสามารถดูแลแม่ของเขาได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากงานที่ยุ่งมาก หลี่หมิงจึงไม่สามารถกลับบ้านได้ มีเพียงการโทรหาแม่เพื่อพูดคุย และบอกแม่ด้วยความภาคภูมิใจว่า “แม่ครับ ผมมีรายได้ดี ผมจะส่งเงินกลับบ้านทุกเดือนเพื่อให้ครอบครัวเรามีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ” นางหวังจือเซี่ยรู้สึกดีใจมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอบอกลูกชายให้ดูแลตัวเองและอย่าทำงานหนักเกินไป
ตั้งแต่ลูกชายออกจากบ้านไป เพื่อนบ้านก็มักจะถามว่าว่าเขาสบายดีไหม เมื่อนางหวังได้ยินเช่นนี้ เธอเพียงยิ้มและตอบว่า “เขาสบายดี ส่งเงินกลับบ้านทุกเดือน ชีวิตครอบครัวดีขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีอะไรขาดแคลนอีกแล้ว”
หลังจากทำงานอยู่ห่างจากบ้านมาเป็นเวลา 6 ปี หลี่หมิงก็มีตำแหน่งหน้าที่ที่มั่นคง มีงานที่ดีและรายได้สูง เขาส่งเงินกลับบ้านให้แม่ทุกเดือนเป็นประจำ และเชื่อว่าแม่ของเขาจะมีชีวิตที่สบายด้วยเงินที่เขาส่งไป
เพิ่งรู้เงินที่โอนมาให้ แม่ไม่ได้รับ
ผ่านไป 6 ปี เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน เขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าบ้านยังคงเก่า เครื่องเรือนชำรุดทรุดโทรม และตู้เย็นก็ว่างเปล่า
ในมื้อเย็นคืนนั้น หลี่หมิงอดไม่ได้ที่จะถามแม่ของเขาว่า “แม่ครับ ทำไมแม่ไม่ซื้ออะไรเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่ผมส่งเงินให้ทุกเดือน อย่าประหยัดมากจนชีวิตต้องลำบากเลยนะครับ”
เมื่อได้ยินคำถามของลูกชาย นางหวังก็ลังเลและตอบว่า “ถ้าลูกส่งเงินมาให้แม่แค่ไม่กี่ร้อยหยวนต่อเดือน (100 หยวน ประมาณ 460 บาท) แม่จะซื้ออะไรได้บ้าง มีสิ่งที่ต้องใช้จ่ายเยอะแยะในชีวิต”
หลี่หมิงรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น “แม่ครับ ผมส่งเงินเป็นหมื่นหยวนทุกเดือน (10,000 หยวน ประมาณ 46,000 บาท) รวมแล้วใน 6 ปีที่ผ่านมา ผมหาเงินได้มากกว่า 1.6 ล้านหยวน (ประมาณ 7 ล้านบาท) แม่อย่าล้อเล่นกับผมสิ”
นางหวังได้ยินคำพูดของลูกชายด้วยสีหน้าที่งุนงง เธอยืนยันว่าเธอไม่ได้รับเงินมากขนาดนั้น มีเพียงเงินเล็กน้อยในแต่ละเดือนเท่านั้น
ธนาคารช่วยสืบจนรู้ความจริง
เช้าวันรุ่งขึ้น หลี่หมิงพาแม่ไปธนาคารเพื่อตรวจสอบบัญชี และพบว่าเงินยังคงถูกโอนเข้าเป็นประจำทุกเดือน หลังจากการตรวจสอบ ทั้งนางหวังและหลี่หมิงก็รู้สึกงุนงงและเป็นกังวลว่าใครขโมยเงินไป หลังจากได้รับความช่วยเหลือจากพนักงานธนาคารในการสืบสวน ก็พบว่าเงินจำนวนมากถูกโอนเข้าบัญชีนางหวังทุกเดือน แต่กลับถูกถอนออกอย่างรวดเร็วผ่านทางตู้เอทีเอ็มและการทำธุรกรรมที่เคาน์เตอร์
เมื่อดูภาพจากกล้องวงจรปิด หลี่หมิงและแม่ต่างตกใจเมื่อพบว่าคนที่ถอนเงินออกไปคือญาติของพวกเขาที่ชื่อหลี่ห่าว หลี่หมิงรู้สึกโกรธมาก แต่ก็สงสัยอยู่หลายอย่าง เขาถามแม่ว่าเขามีบัตรของเธอได้อย่างไร รู้รหัสผ่านได้อย่างไร และทำไมถึงถอนเงินออกไปทุกเดือน
นางหวังครุ่นคิดและจำได้ว่าครั้งหนึ่งที่เธอป่วย หลี่ห่าวได้ช่วยเธอถอนเงินไปจ่ายค่ารักษาพยาบาล ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็รู้รหัสผ่านบัตร และทุกเดือนเขาก็ใช้โอกาสที่มาช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่บ้านเพื่อขโมยบัตรและนำกลับมาคืนหลังจากถอนเงิน
หลี่หมิงและนางหวังไม่อยากเชื่อเลยว่าญาติพี่น้องที่ใกล้ชิดและไว้ใจจะทำเรื่องแบบนี้กับพวกเขา ทันทีที่ทราบ หลี่หมิงจึงขอให้ธนาคารติดต่อกับตำรวจ เมื่อกลับถึงบ้าน นางหวังก็ถอนหายใจและร้องไห้อย่างเงียบๆ เพราะไม่สามารถเชื่อได้เลยว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น หลี่หมิงทำได้เพียงปลอบแม่และสัญญาว่าจะดำเนินการตามกฎหมายจนถึงที่สุดเพื่อไม่ให้เขาหนีความผิดไปได้
หลังจากการสืบสวน หลี่ห่าวยอมรับว่าใช้ความไว้วางใจของป้าฉกฉวยเงินจำนวนมากที่หลี่หมิงส่งกลับบ้าน เขาถูกตำรวจจับกุมในข้อหาฉ้อโกง และหลี่หมิงกับแม่ของเขาก็ได้เงินที่สูญเสียไปคืนมาเพียงบางส่วนเท่านั้น
แม้จะได้เงินบางส่วนคืนมา แต่หลี่หมิงและแม่ของเขาก็ยังคงรู้สึกเศร้าใจอย่างมากที่ถูกญาติหลอกลวง ทั้งคู่รู้สึกหมดอาลัยตายอยากเมื่อต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าเงินทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวพังทลาย