ลิโอเนล เมสซี่ จะเป็นอย่างไร ? : การปรับตัวของนักเตะ "วัน คลับ แมน"

Home » ลิโอเนล เมสซี่ จะเป็นอย่างไร ? : การปรับตัวของนักเตะ "วัน คลับ แมน"
ลิโอเนล เมสซี่ จะเป็นอย่างไร ? : การปรับตัวของนักเตะ "วัน คลับ แมน"

อายุ 34 ปี ขึ้นไปสำหรับนักฟุตบอลอาชีพถือว่าเป็นช่วงขาลงแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่ไม่ว่านักเตะคนนั้นจะโด่งดังคับฟ้าแค่ไหนต่างก็ต้อง “รู้สึก” ถึงความเปลี่ยนแปลงตามวัฏจักรของเวลา … แม้แต่สุดยอดแข้งเบอร์ 1 ของโลกอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ ก็ยังหนีสิ่งนี้ไม่พ้น…

สโมสรที่เป็นเหมือนบ้าน, เมืองที่ผูกพันยิ่งกว่าบ้านเกิด, ผู้คนที่สนิทสนมเหมือนคนในครอบครัว และความรักที่มากล้นเสียจนเขาเองก็อาจจะคาดไม่ถึง …. ทุกสิ่งต้องนับ 1 ใหม่อีกครั้ง

จากว่าที่ “วัน คลับ แมน” เมสซี่ จะต้องเริ่มการเดินทางครั้งใหม่ จากที่ไม่เคยคิดจะย้ายไปไหนและลงหลักปักฐานเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้ทุกอย่างต้องรีเซ็ตใหม่ทั้งหมด เพราะทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

 

ในวันที่ต้องโยกย้ายและเปลี่ยนแปลง จะปรับตัวกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตอย่างไร ? นี่คือสิ่งที่ เมสซี่ อาจจะต้องเจอหลังจากนี้ … อะไรรอเขาอยู่บ้าง ติดตามได้ที่ Main Stand

เสี่ยง หรือ เซฟ ? 

เมสซี่ คือนักเตะระดับที่ไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้วเพื่อการยอมรับจากคนทั่วโลก นี่คือหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษยชาติเคยมี ภาพของเขาได้รับการจดจำไว้ในระดับ “สูงสุด” ของวงการฟุตบอล ถ้าเขาอยู่กับ บาร์เซโลน่า ต่อไปจนแขวนสตั๊ด ทุกคนจะจดจำเขาในฐานะนักเตะที่ไร้รอยแปดเปื้อนและใช้ช่วงชีวิตค้าแข้งได้อย่างสง่างามตั้งแต่ต้นจนจบ… 

ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว จากปัญหาเรื่องหนี้สินและค่าเหนื่อยนักเตะของสโมสรที่ทะลุเพดาน ตลอดจนปัญหาในรายละเอียดของสัญญาที่ยากจะบอกว่าใครถูกใครผิด เมสซี่ ได้กลายเป็นนักเตะไร้สโมสรไปเป็นที่เรียบร้อยในตอนนี้ ดังนั้นการจบสวย ๆ แขวนสตั๊ดกับ บาร์ซ่า เหมือนที่คนทั้งโลกคาดว่าจะเป็นเช่นนั้น ไม่มีทางเกิดขึ้นแล้ว ในวัย 34 เมสซี่ ต้องไปต่อ และเลือกทางเลือกต่อไปให้ดีที่สุด เพื่อให้ภาพจำของเขาสง่างามจนนาทีสุดท้าย ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก ๆ เพราะแทบไม่เคยเห็นนักเตะคนไหนทำได้เลย

 

ตัวอย่างที่ง่ายที่สุดคืออดีต 2 นักเตะของ บาร์เซโลน่า อย่าง ชาบี เอร์นันเดซ ที่ย้ายออกจากทีมในปี 2015 และ อันเดรส อิเนียสต้า ที่ย้ายออกจากทีมในปี 2018 พวกเขาอยู่กับ บาร์เซโลน่า มาทั้งชีวิต ทว่าหลังจากย้ายออก พวกเขาก็เลือกที่จะเพลย์เซฟ ด้วยการย้ายไปเล่นในลีกฟุตบอลที่มีการแข่งขันน้อยกว่า ความเข้มข้นต่ำกว่าฟุตบอลยุโรปอยู่พอสมควรอย่าง กาตาร์ สตาร์ ลีก ในรายของ ชาบี และ เจ ลีก ญี่ปุ่น ในกรณีของ อิเนียสต้า 

“ผมมาที่ญี่ปุ่นเพราะผมเข้าใจว่าตัวเองได้มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับบาร์เซโลน่าแล้ว ผมอยากเห็นฟุตบอลที่แตกต่างออกไป” นี่คือคำพูดของ อิเนียสต้า เมื่อตอนจากมา ซึ่งหากตีความก็จะพบว่า เขาหมดแพชชั่นในการล่าความสำเร็จระดับสูงไปแล้ว

ทั้ง 2 คนย้ายออกไปในต่างแดนและประสบความสำเร็จในระดับท้องถิ่น ที่ประเทศนั้น ๆ พวกเขากลายเป็นสตาร์ ได้รับความรักและการยอมรับจากผู้คนที่นั่น ทว่ามันยังห่างไกลกับคำว่าระดับโลก ตามฝีเท้าและเกียรติประวัติแบบที่พวกเขามี 

มีนักเตะอีกเยอะที่เลือกเส้นทางที่ง่ายกว่า และรับมือกับความกดดันน้อยกว่าทั้ง สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีมที่ดีที่สุดของ ลิเวอร์พูล ที่ย้ายไปเล่นในสหรัฐอเมริกา, อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ ที่ย้ายไปเล่นใน ออสเตรเลีย หรือแม้กระทั่ง อิเคร์ กาซิยาส ที่ย้ายไปเล่นในโปรตุเกสกับ เอฟซี ปอร์โต้ นี่คือเส้นทางที่นักเตะหลายคนเลือกไป พวกเขาไม่อยู่ในการแข่งขันระดับสูง ไม่ได้รับความสนใจจากสื่อมากเท่า และแขวนสตั๊ดไปแบบเซฟ ๆ ได้รับคำชมบ้างเล็กน้อย ๆ และไม่มีคำติฉินนินทาไล่ตามหลัง  

 

สำหรับเรื่อง เมสซี่ ในเวลานี้คือช่วงที่เขาต้องตัดสินใจ จากลิสต์ที่บ่อนพนันถูกกฎหมายเปิดมาทั้งหมด 6 อันดับถึงสโมสรต่อไปของเขา จะเห็นได้ว่ามี 3 ทีมระดับท็อปของยุโรปอย่าง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขณะที่อีก 3 ตัวเลือกรอง ๆ ประกอบด้วย สโมสรใดก็ได้ในเมเจอร์ลีกสหรัฐอเมริกา, สโมสร อินเตอร์ ไมอามี่ ที่มี เดวิด เบ็คแฮม เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และเต็ง 6 คือ นีเวลส์ โอลด์ บอยส์ สโมสรแรกในชีวิตของเขาที่ประเทศอาร์เจนตินา บ้านเกิด

แม้จะเป็นไปได้ยาก แต่อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น … จะมีใครคิดว่า เมสซี่ จะย้ายออกจาก บาร์เซโลน่า ?  

เมสซี่ มีโอกาสจะไปเล่นในทีมระดับท็อปสูง โดยเฉพาะกับ เปแอสเช ซึ่งการไป เปแอสเช ไม่มีอะไรมากไปกว่าการสร้างประวัติศาสตร์พาทีมเป็นแชมป์ยุโรปหนแรก หลังจากที่พวกเขาทุ่มเงินหลักพันล้านยูโรตลอดช่วง 10 ปีหลังสุด แต่ก็ไปไม่ถึงฝันสักที เช่นเดียวกันในกรณีรอง ๆ หากไป แมนฯ ซิตี้ พวกเขาก็รอการเป็นแชมป์ยุโรปสมัยแรกอยู่เช่นกัน ขณะที่ทีมในลิสต์อีก 1 ทีมอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ร้างห่างไกลความสำเร็จมานานจนเหลือเชื่อ ไม่ว่าตัวเลือกไหนก็ล้วนเป็นบทพิสูจน์ที่ดีสำหรับนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกทั้งนั้น 

ถ้าเขาทำได้เขาจะต้องเท่มาก ๆ และยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าเดิมอีกพอสมควร เพราะมักจะมีคำพูดของเหล่า Hater ที่มักจะวิจารณ์ เมสซี่ อยู่บ่อย ๆ ในเชิงที่ว่า “แน่จริงลองย้ายทีมหรือไปเล่นในลีกอื่นสิ จะเก่งแบบนี้หรือเปล่า” การตัดสินใจครั้งนี้ของ เมสซี่ จะช่วยตอบข้อสงสัยที่ไม่เมกเซนส์นี้ได้ ชนิดที่เรียกได้ว่าไม่ต้องเถียงกันต่อ … แต่ถ้าเกิด เมสซี่ ทำไม่ได้ขึ้นมา เกิดเล่นไม่ออก ช่วยทีมได้ไม่ดีอย่างที่คิด รักษามาตรฐานระดับสูงของตัวเองไม่สำเร็จ เหล่า Hater จะยิ่งตีปีก และความผิดพลาดของ เมสซี่ ก็จะยิ่งโดนล้อเลียนมากขึ้นแน่นอนตามวลี “ตัวใหญ่ล้มดัง” คนเก่งมากพอพลาดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็เตรียมรับแรงกระแทกได้เลย

 

นี่คือสิ่งที่ เมสซี่ ต้องเลือกให้ดี ชื่อของเขามีมูลค่าทางการตลาดสูงมาก ทุกความสำเร็จส่งให้เขามีโปรไฟล์ระดับไอคอนของโลก … เช่นเดียวกัน หากเขาเกิดรอยแปดเปื้อนขึ้นมา มันก็เหมือนกับการทำให้ซูเปอร์แมนเลือดออก แม้ ซูเปอร์แมนจะเก่งกาจอยู่แล้ว แต่คนอื่น ๆ ก็จะพบว่าที่สุดแล้วเขาก็มีความอ่อนแอ ไม่ได้ไร้เทียมทานไปเสียทีเดียว 

เขาจะเลือกแบบไหนก็ได้ นั่นคือสิทธิ์ของเขา ทว่าหลังจากที่เขาได้ทีมใหม่แล้ว ความสนใจจากสื่อทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นทุกวินาทีแน่นอน ถ้าเขาเลือกแล้วว่าจะไปอยู่ไหน นี่คือสิ่งที่เขาต้องเจอในบทต่อไป…

ความคาดหวังให้ “เก่งทุกที่” 

ไม่ว่าจะย้ายไปอยู่กับทีมไหน สิ่งที่ เมสซี่ จะต้องเผชิญคือเรื่องใหญ่ เขาย้ายจากอาร์เจนตินามาที่สเปน และอาศัยอยู่ในแคว้นกาตาลัน ภายใต้การร่วมงานกับ บาร์เซโลน่า ตั้งแต่อายุ 13 ปี หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นที่นี่ เป็นที่ที่ครอบครัวของเขาอยู่อาศัย เป็นเมืองที่มีแต่ผู้คนรักใคร่ หน้าที่การงานอยู่ที่นี่หมด เรียกได้ว่า บาร์เซโลน่า คือพื้นที่ เซฟโซน ของ เมสซี่ ก็คงไม่ผิดนัก

 

ไม่ต้องคิดอะไรมาก เพื่อทำความเข้าใจในสิ่งที่คุณต้องเจอ หากคุณเป็นคนต่างจังหวัด ใช้ชีวิตอยู่มาตั้งแต่เด็กจนโต คุณน่าจะพอนึกออกถึงช่วงเวลาที่มากรุงเทพฯ หรือไปต่างบ้านต่างเมืองครั้งแรก มันเป็นช่วงเวลาที่อะไร ๆ ก็แปลกใหม่ไปเสียหมด ยิ่งในกรณี เมสซี่ ที่น่าจะต้องย้ายประเทศ เขาก็จะต้องเจอกับวัฒนธรรมที่แตกต่าง ทั้งแนวคิดของผู้คน วิธีการทำงาน และ ภาษา  

เปรียบเทียบกับพนักงานบริษัททั่วไปก็ได้ หากทำงานในองค์กรใดนาน ๆ และต้องย้ายที่ พวกเขาก็ต้องปรับตัวใหม่ ที่ทำงานเก่าเราอาจจะร้องขออะไรก็ได้ เราอาจจะมาถึงที่ทำงานและนั่งทำงานที่ตัวเองรับผิดชอบได้โดยง่ายแบบที่หลับตาทำยังได้ด้วยความเคยชิน, หน้าออฟฟิศมีร้านอะไรอร่อย ๆ คนในองค์กรคนนี้มีนิสัยอย่างไร เราเห็นพวกเขามาจนทะลุปรุโปร่ง รู้ตื้นลึกหนาบางทั้งหมดเป็นอย่างดี 

แต่การย้ายงาน คือการปรับเปลี่ยนสไตล์การทำงานทั้งหมด เราแทบไม่รู้อะไรเลย แม้แต่คนที่นั่งโต๊ะข้าง ๆ มีนิสัยอย่างไร ? เป็นมิตรหรือศัตรู … นี่คือสิ่งที่ใครก็ต้องเจอเมื่อย้ายหรือปรับเปลี่ยนที่ทำงาน 

 

สิ่งที่ เมสซี่ พอจะทำได้คือการ “ไหลไปตามจังหวะของชีวิต และมองในแง่บวกอยู่ทุกวินาที” ประโยคนี้คือประโยคที่ ชาบี เอร์นันเดซ กล่าวเมื่อเขาย้ายไปเล่นให้กับทีม อัล ซาดด์ ในประเทศ กาตาร์ … เขาได้ค่าเหนื่อยมากมายยิ่งกว่าตอนที่อยู่กับ บาร์เซโลน่า ด้วยซ้ำ แต่ ชาบี ก็บอกว่า เงินไม่ได้ช่วยให้การปรับตัวง่ายขึ้น มันสำคัญก็จริง แต่ทัศนคติและการเปิดใจเรียนรู้คือสิ่งที่สำคัญที่สุดเป็นอันดับแรก ในวันที่คุณพบว่าคุณได้ออกจากสิ่งแวดล้อมเดิมที่คลุกคลีมาแทบทั้งชีวิต

“ตอนที่ผมย้ายมาที่กรุงโดฮา ผมคิดไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าตัวเองจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ผมไม่กล้าคาดหวังอะไรเพราะการย้ายถิ่นฐานครั้งนี้คือประสบการณ์ใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ ผมอยูที่ บาร์เซโลน่า มา 25 ปี แล้วต้องเดินทางมาอีกฝั่งของโลกที่แตกต่างด้านวัฒนธรรมแบบสุดขั้ว” ชาบี เริ่มเล่า 

“แต่สิ่งที่คุณทำได้ดีที่สุดคือการเปิดรับ ทำแบบที่เขาทำ แต่อย่าทิ้งจิตวิญญาณของตัวเอง สำหรับผม ผมเลือกออกไปเดินรอบ ๆ เมือง ไปพบกับผู้คนท้องถิ่น จากนั้นคุณจะได้รู้เองว่ามันเป็นอย่างไร มองหาข้อดีของพวกเขาซะ สำหรับผมที่ กาตาร์ คือดินแดนที่มีความหลงใหลในฟุตบอลไม่แพ้ที่ไหน”

ปรับตัว เรียนรู้ และเปิดใจ คือวิธีของ ชาบี กับชีวิตใหม่ในดินแดนตะวันออกกลาง และเขาทำมันได้ดีจริง ๆ ไม่ว่าจะในแง่อาชีพที่ประสบความสำเร็จทั้งในฐานะนักเตะและโค้ช นอกจากนี้ ชาบี ยังกลายเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาวงการฟุตบอลของ กาตาร์ ด้วย เพราะเขากลายเป็นหนึ่งในทีมเทคนิคของศูนย์ฝึก แอสไปร์ ที่ลงทุนไปกว่า 2,000 ล้านปอนด์ จนได้นักเตะชุดแชมป์เอเชียเมื่อปี 2019 ในท้ายที่สุด 

เมสซี่ ต้องทำในแบบที่ ชาบี เคยทำ แม้บริบทของวัฒนธรรมจะแตกต่าง แต่โดยเนื้อแท้ ทุกสิ่งล้วนแต่มีความเปลี่ยนแปลงให้เขาต้องปรับตัวทั้งนั้น… 

ทว่าในฐานะนักฟุตบอล การเล่นให้ดี ทำผลงานให้แจ่ม ทุกอย่างก็จะง่ายเอง และด้วยคำกล่าวนี้อาจจะไม่มีปัญหาอะไรสำหรับคนเก่งอย่าง เมสซี่ แต่มันยังมีบททดสอบที่สำคัญกว่านั้น … เพราะชีวิตของเขาไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้ว 

Culture Shock 

เมสซี่ เคยโดดเดี่ยวกับชีวิตที่สเปนในช่วงแรก จนกระทั่งเขาขอให้แฟนสาวที่ปัจจุบันกลายเป็นภรรยาของเขา บินจากอาร์เจนตินามาใช้ชีวิตด้วยกันที่นี่ ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มสร้างครอบครัวโดยมีลูกชายอีก 3 คน … ทุกคนเกิดที่สเปน และผูกพันกับเมือง หรือแม้แต่สโมสรตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาลืมตาดูโลก 

ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวแน่ที่ต้องรู้สึกแปลกไปจากที่เคย ลูก ๆ ของเขาจะต้องย้ายโรงเรียน ภรรยาจะต้องปรับตัวกับชีวิตในเมืองใหม่ เริ่มสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน หาเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้ … ทุกอย่างเกี่ยวข้องกันหมดอย่างไม่ต้องสงสัย 

เราทุกคนต่างเข้าใจว่า เมสซี่ ไม่ใช่เด็กแล้ว และการย้ายทีมหนนี้คือการเปลี่ยนแปลงที่เขาไม่ได้เตรียมตัวไว้ก่อน ในวันแถลงข่าวเขาบอกว่า “เขาคิดว่าจะอยู่ที่นี่ไปตลอด” แต่สุดท้ายก็ต้องบอกลา และน้ำตาของ เมสซี่ ก็บอกได้เป็นอย่างดีว่า “เขาไม่อยากเปลี่ยนแปลง” แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่เขาต้องเริ่มปรับตัว 

ไม่ว่าจะที่ไหน ๆ เขาก็จะได้เจอกับสิ่งใหม่ ๆ ทั้งสิ้น แต่สิ่งหนึ่งที่จะเหมือนเดิมเสมอคือความคาดหวังที่ทุกคนมีต่อเขา … หน้าที่ของ เมสซี่ คือการทำให้ทุกคนเห็นว่า เขายังคงสุดยอดอยู่เสมอเหมือนกับที่ทุกคนอยากจะเห็น แต่ภารกิจหลังบ้านอย่างการปรับตัว คือหนึ่งในอุปสรรคที่ทำให้งานของเขาไม่ง่าย 

อุปสรรคข้อนี้เขาอาจจะไม่เคยเจอมาก่อน ไม่ใช่ในฐานะนักฟุตบอล แต่มันคือในฐานะครอบครัว ซึ่งเป็นภาระหน้าที่ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ถ้าลูกหรือเมียไม่มีความสุขจนร้องอยากจะกลับบ้านขึ้นมาจะทำอย่างไร ? เพราะนี่คือโลกของมืออาชีพ … แค่นี้ก็พอจะเห็นได้ว่างานของเขายากขึ้นแล้ว  

ยิ่งหากเขาย้ายไป เปแอสเช ว่าที่สโมสรใหม่ตัวเต็งอันดับ 1 ก็หมายความว่าเขาจะต้องไปใช้ชีวิตในกรุงปารีส เมืองที่มีปัญหาเรื่องอาชญากรรม สถิติคดีอาชญากรรม 3 ปีหลังสุดของที่นั่น มีอัตราเพิ่มขึ้นถึง 70% และเรื่องนี้สถานทูตสหรัฐอเมริกาและไทย ที่อยู่ในฝรั่งเศส ยังเคยออกจดหมายเตือนนักท่องเที่ยวว่า หลังจากเกิดปัญหาไวรัสโควิด-19 ระบาดหนักในเมือง ขอให้งดการออกจากที่พัก แม้กระทั่งช่วงเวลาที่ปลอดภัยจากโรคก็ตาม 

คนมีเงินและมีชื่อเสียงสามารถซื้อความปลอดภัยได้ เราต่างรู้กันดี แต่ของแบบนี้บางทีมันก็ไม่เลือกเวลาและมาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัว … ถ้าไม่เจอก็ดีไป แต่ใช่ว่าทุกจะรอดปลอดภัย 100% หากยังจำกันได้ อังเคล ดิ มาเรีย ที่ย้ายไปอยู่ที่ อังกฤษ กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังเคยถูกขโมยขึ้นบ้านในขณะที่ลูกและภรรยาอยู่กันตามลำพัง จนที่สุดแล้วเจ้าตัวก็ปรับตัวไม่ไหว และขอย้ายออกจากทีมในเวลาไม่นานหลังจากนั้น 

คนเป็นหัวหน้าครอบครัวย่อมรู้ดี เพราะการดูแลคนที่เรารักคือหน้าที่หลักที่ไม่สามารถให้สิ่งใดมามีความสำคัญเหนือกว่าได้ นี่คืองานชิ้นใหม่ของ เมสซี่ ในเมืองใหม่ที่เขาน่าจะไป พร้อมกับคนที่เขารักอีก 4 คน รวมถึงสุนัขอีก 1 ตัว 

ทั้งหมดนี้คือสิ่งเบื้องต้นที่ เมสซี่ จะต้องเจอ แม้การย้ายทีมจะทำให้เขาต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลง แต่มันก็ทำให้เขารู้ความจริงที่ว่า ชีวิตคนเราไม่มีอะไร 100% อะไรที่คิดว่าชัวร์ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ นั่นคือกฎของเวลา 

จากนี้ไปวิชาการปรับตัวของ เมสซี่ และครอบครัว กำลังจะเริ่มขึ้น ไม่ว่าเขาจะย้ายไปที่ไหน เมืองอะไรก็ตาม …. อยู่ที่ว่าเขาจะไหลไปกับจังหวะชีวิต และรับมือกับสิ่งต่าง ๆ ได้ดีแค่ไหน ไม่แน่เขาอาจจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่หรือสร้างสถิติใหม่ ๆ ที่ตัวเองไม่เคยทำได้จากการย้ายทีมและเปลี่ยนที่อยู่ครั้งนี้ก็เป็นได้ 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ