ลิงแสม "ก็อตซิลล่า" กัดมือนักข่าวสาวช่องดัง แผลลึกถึงกระดูก-ติดเชื้อ เสี่ยงต้องเข้าไอซียู

Home » ลิงแสม "ก็อตซิลล่า" กัดมือนักข่าวสาวช่องดัง แผลลึกถึงกระดูก-ติดเชื้อ เสี่ยงต้องเข้าไอซียู



ลิงแสม "ก็อตซิลล่า" กัดมือนักข่าวสาวช่องดัง แผลลึกถึงกระดูก-ติดเชื้อ เสี่ยงต้องเข้าไอซียู

นางสาวณัฐชา หน่องพงษ์ ผู้สื่อข่าวพีพีทีวี ได้ออกมาโพสต์เรื่องราวหลังไปทำข่าวลิงแสม “ก็อตซิลล่า” ที่กำลังเป็นกระแสโด่งดัง เนื่องจากถูกเจ้าหน้าที่อุทยานมารับตัวไปเพื่อดูแล และปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จนกลายเป็นกระแสวิจารณ์ว่าการพรากลิงจากครอบครัวอาจทำให้ลิงตรอมใจตาย

  • แจงดราม่าพราก “ก็อตซิลล่า” ลิงแสมอ้วนจากเจ้าของ พร้อมเผยน้ำหนักล่าสุด
  • ไม่จบง่ายๆ “ก็อตซิลล่า” ยังกลับบ้านไม่ได้! เจ้าของโต้ หมอไม่รู้ใจลิง-ใครจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้

ซึ่งในขณะที่ลงพื้นที่ทำข่าวนั้น ผู้สื่อข่าวสาวได้ถูกเจ้า “ก็อตซิลล่า” กัดที่มือ จนต้องไปทำแผลที่โรงพยาบาล โดยได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดว่า…

“หลังจากที่หายไป 1 อาทิตย์กว่าๆ วันนี้จะขอใช้พื้นที่ส่วนตัวอธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่ “เราถูกลิงกัด” ถึงแม้ว่าร่างกายและจิตใจตอนนี้จะยังไม่พร้อม แต่เราถูกพาดพิงเยอะมากจนต้องขอออกมาชี้เเจง

ต้องขอบอกก่อนว่าไม่ได้จะออกมาแก้ตัว หรือโทษว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นความผิดใคร เรื่องของน้อง (ก็อตซิลล่า) เราในฐานะคนเลี้ยงสัตว์เหมือนกัน เราเข้าใจหัวอกเจ้าของดี ที่ต้องถูกจับแยกกับน้อง

เจตนาเดียวหลังจากที่เราได้รับมอบหมายให้ไปทำข่าวนี้ คือการไปแชร์ความน่ารักของน้อง และช่วยหาแนวทางการดูแล เพราะน้องมีน้ำหนักที่มากเกินไป อาจเสี่ยงที่จะเป็นโรคได้ ไม่ได้มีเจตนาจะไปวุ่นวายหรือต้องการให้น้องถูกจับไป

ข้อความหลังจากนี้เพื่อต้องการอธิบาย ไล่เรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนั้น และเเชร์ประสบการณ์ของตัวเอง ขอความกรุณาได้โปรดเป็นผู้ฟังที่ดีอย่าใช้ถ้อยคำดูถูก หรือหยาบคาย

– 24/03/64 ประมาณ 08.30 เราได้รับมอบหมายงานให้ไปทำข่าว ลิงแสม ที่ชื่อ “ก็อตซิลล่า” ย่านมีนบุรี เราและพี่ในออฟฟิศช่วยกันหาข้อมูลอยู่ประมาณ15นาที จนได้เบอร์ติดต่อเจ้าของคือ คุณลุงมานพ

– เรารีบโทรติดต่อไป มีเสียงผู้หญิงรับ จึงแนะนำตัวพร้อมกับบอกเจตนา // ซึ่งปลายสายแจ้งว่าขอปรึกษากับครอบครัวก่อน เราโอเคไม่เร้าหรือ

– ประมาณ 5 นาที เจ้าของติดต่อกลับมา บอกว่า ให้เราไปได้เลย มาถึงสัก 09.30 น. นะเพราะจะอาบน้ำแต่งตัวให้น้องก่อน และจะล่ามน้องไว้

– ระหว่างนั้นเราโทรหาพี่นักข่าวที่เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่า เพื่อศึกษาข้อมูล และหาเบอร์คุณหมอ โดยพี่เค้าเตือนเราว่าลิงแสมเป็นสัตว์ป่า อาจจะดุร้าย ให้เราระวังตัว

– 09.30 เราไปถึง เจอเจ้าของและน้องนั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน ที่ตัวน้องมีเชือกล่ามไว้โดยมีเจ้าของจูงอยู่ เราเดินเข้าไปแนะนำตัว และทักทายตามมารยาท และยืนดูน้องอยู่ห่างๆ

– ระหว่างที่พูดคุยกัน เรายืนกอดอกตลอด เพราะกลัวว่ามือไม้จะทำให้น้องตกใจ // เราพยายามถามเจ้าของตลอดว่าน้องดุไหม น้องมีพฤติกรรมอย่างไร หวงของไหม ซึ่งตลอดระยะเวลาตรงนั้น “เจ้าของพยายามพูดให้เราจับน้อง” หลายครั้ง (เรามีหลักฐานที่ช่างภาพถ่ายไว้)

– ผ่านไปประมาณ 10 นาที เราเริ่มรู้สึกไว้ใจมากขึ้นจึงโน้มตัวลงไปเล็กน้อยเพื่อเรียกชื่อน้อง แต่เชือกที่ถืออยู่หย่อนเกินไป น้องกระโจนขึ้นมาคว้ามือไปกัด

– วินาทีนั้นเรารู้แค่ว่ามันแรงมาก หลังจากเห็นแผลเรารู้ทันทีว่า ต้องไปหาหมอ สภาพแผลตอนนั้นลึกถึงกระดูก เป็นรอยฉีกขาดขนาดใหญ่ เรารีบเอาเสื้อคลุมพันนิ้ว และบอกกับทีมว่า ไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!!

– ไปโรงพยาบาลแรก หมอบอกว่าแผลลึกมาก ซึ่งที่นี่อุปกรณ์ไม่พร้อม จึงให้เราไปรักษาอีกที่ ละแวกใกล้กัน เมื่อถึงโรงพยาบาลที่สอง หมอเรานอนรออยู่ 2 ชั่วโมง กว่าจะได้รับการรักษา ตอนนั้นผลเอกซเรย์บอกว่ากระดูกไม่แตกหัก หมอจึงเย็บแผลปิด

แต่เรารู้สึกว่านิ้วมือขยับไม่ได้ และไม่รู้สึก จึงรีบประสานกลับไปทางออฟฟิศเพื่อขอย้ายไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลในกรุงเทพ ซึ่งโรงพยาบาลนั้นมีเครื่องสแกน MRI

– ปรากฎว่าเมื่อมาถึงโรงพยาบาลที่ 3 หมอแจ้งว่ามีเส้นเอ็นและเส้นประสาทที่ชำรุด ต้องผ่าตัดด่วน วันนั้นเราเข้าห้องผ่าตัดตอน 20.00 น. และออกมาตอน 23.00 น. ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี รุ่งขึ้นอีกวันเรากลับมาพักฟื้นที่บ้าน

– หลังจากนั้นเราไปล้างแผลและฉีดวัคซีนตลอดที่โรงพยาบาล วันที่ 28/03/64 หมอที่โรงพยาบาลแจ้งว่าแผลติดเชื้อ เพราะแผลเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ บวกกับผลเลือด จึงส่งตัวกลับมาที่โรงพยาบาลเดิม

– 29/03/64 เราเข้าห้องผ่าตัดเป็นรอบที่ 2 คราวนี้เปิดเเผลยาวขึ้น บวกกับผลเลือดเรา เม็ดเลือดขาวเหลือแค่ 3000 เซลล์/ไมโครลิตร ซึ่งคนปกติควรจะมี 8000-11000 เซลล์/ไมโครลิตร //ซึ่งอาจจะมาจากการติดเชื้อ

– ตอนนี้เรานอนรักษาตัวแบบลุ้นวันต่อวัน ว่าผลเลือดจะลดลงอีกไหม ถ้าแนวโน้มยังลดลงอีก หมายความว่าเราอาจจะต้องย้ายไปรักษาตัวในห้องปลอดเชื้อ icu

ปล.สุดท้ายนี้เราแค่อยากบอกว่า เหตุการณ์นี้ไม่มีใครผิด ทุกอย่างเกิดขึ้นจากความประมาททั้งเรา และเจ้าของ เป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิด และใจเราก็ยังคงแอบเชียร์ให้น้องได้กลับไปอยู่กับคนที่น้องรัก พร้อมกับสุขภาพที่ดีขึ้น

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ