"ลาลีกา 2021/22" ลีกที่สูสีที่สุดในบรรดาลีกใหญ่ยุโรป

Home » "ลาลีกา 2021/22" ลีกที่สูสีที่สุดในบรรดาลีกใหญ่ยุโรป

ฟุตบอลลาลีกา สเปน 2021/22 ผ่านพ้นมาแล้วเกือบ 1 ใน 3 ของฤดูกาล โดยภาพรวมถือว่ามีความใกล้เคียงสูสีกันมาก คล้ายกับซีซั่นที่แล้ว อีกทั้งทีมขนาดกลางสามารถยกระดับสู้กับทีมยักษ์ใหญ่ได้อย่างไม่เป็นรองใคร

ตารางคะแนนล่าสุด เรอัล โซเซียดัด นำเป็นจ่าฝูง แข่ง 12 นัด มี 25 คะแนน, อันดับ 2 เรอัล มาดริด แข่ง 11 นัด มี 24 คะแนน เท่ากับ เซบีย่า ทีมอันดับ 3 ตามมาด้วย แอตเลติโก มาดริด ที่มี 22 คะแนน จากการลงเตะ 11 นัดเช่นกัน

อันดับ 5 เรอัล เบติส 21 คะแนน, อันดับ 6 ราโย บาเยกาโน่ ทีมน้องใหม่ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมา 20 คะแนน และอันดับ 7 โอซาซูน่า 19 คะแนน ซึ่ง 3 ทีมนี้ลงเตะไปแล้วทีมละ 12 นัด และอยู่ในพื้นที่ลุ้นโควตาถ้วยยุโรปแบบเซอร์ไพรส์
zจะเห็นได้ว่า ช่องว่างคะแนนระหว่างอันดับ 1 กับอันดับ 7 ของลาลีกา ต่างกันแค่ 6 แต้มเท่านั้น น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับลีกใหญ่ในยุโรปอย่างพรีเมียร์ลีก (9 แต้ม), บุนเดสลีกา (9 แต้ม), เซเรีย อา (13 แต้ม) และ ลีก เอิง (14 แต้ม)

อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ลาลีกามีความสูสีคือ “ผลต่างประตูได้เสีย” เรอัล มาดริด เป็นทีมที่มีผลต่างดีสุด คือ +14 ส่วน เลบันเต้ กับ เกตาแฟ่ เป็นทีมที่มีผลต่างแย่สุด คือ -12 เท่ากัน ห่างกันอยู่ 26 ลูก น้อยที่สุดใน 5 ลีกใหญ่ยุโรป

การแข่งขันในกลุ่มบนของตารางที่เปลี่ยนไป

ก่อนที่ลาลีกาซีซั่นนี้จะเริ่มขึ้น หลายคนมองไปที่ เรอัล มาดริด และ แอต. มาดริด จะเป็นผู้ท้าชิงแชมป์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลับได้เห็นทีมอย่าง เรอัล โซเซียดัด, เซบีย่า และ เรอัล เบติส ทำผลงานดีเกินคาด จนอยู่ในกลุ่มท็อป 5 ของตาราง

โดยเฉพาะ โซเซียดัด ที่ออกสตาร์ทฤดูกาลนี้ได้ดีเหมือนฤดูกาลที่แล้ว ขึ้นไปยึดตำแหน่งจ่าฝูงอยู่หลายสัปดาห์ ก่อนที่จะแผ่วปลาย ถูก แอต. มาดริด แซงขึ้นไป และเป็น “ตราหมี” ที่คว้าแชมป์ได้แบบสุดตื่นเต้นในวันสุดท้ายของซีซั่น
nหรือในกรณีของ ราโย บาเยกาโน่ ที่เพิ่งชนะเพลย์ออฟ เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นลีกสูงสุดในซีซั่นนี้ ทำผลงานชนิดที่เรียกว่าเซอร์ไพรส์เลยทีเดียว นำโดย ราดาเมล ฟัลเกา ดาวยิงจอมเก๋า ที่ยิงไป 4 ประตู โดยใช้เวลาอยู่ในสนามรวมกัน 332 นาที

อีกหนึ่งทีมที่สร้างความประหลาดใจไม่แพ้กันคือ โอซาซูน่า ที่อยู่อันดับ 7 ในเวลานี้ เป็นทีมที่ทำผลงานได้ดีในเกมเยือน ชนะ 4 จาก 6 นัดที่ออกนอกบ้าน 2 นัดที่ไม่ชนะ คือการเก็บ 1 แต้มจาก เรอัล มาดริด และแพ้ทีมแกร่งอย่าง เซบีย่า

ทีมขนาดกลางยกระดับมาตรฐานสูงขึ้นกว่าเดิม

ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษที่แล้ว เรอัล มาดริด เป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ลาลีกา ที่คว้าแชมป์ด้วยการทำได้ถึง 100 คะแนน ในซีซั่น 2011/12 ก่อนที่ บาร์เซโลน่า จะคว้าแชมป์ด้วย 100 คะแนนเช่นเดียวกัน ในซีซั่นถัดมา

ปี 2013 ฆาเบียร์ เตบาส เข้ามารับตำแหน่งประธานลาลีกา ได้กำหนดนโยบายที่ให้มีการกระจายรายได้กับทุกสโมสรอย่างเป็นธรรม การออกกฎควบคุมการเงินและหนี้สิน รวมถึงการเพิ่มมูลค่าของลีกให้มากขึ้น
qนโยบายของ เตบาส ทำให้ทีมระดับกลางสามารถถีบตัวเองสู้กับทีมยักษ์ใหญ่ได้อย่างสูสี คาดเดาผลการแข่งขันได้ยาก โอกาสที่ทีมใหญ่จะชนะคู่แข่งแบบขาดลอย หรือทีมแชมป์ทำได้สูงถึง 100 คะแนน คงจะเกิดขึ้นยากมากๆ

อีกทั้งทีมระดับกลางในลาลีกา ต่างก็เสริมทัพผู้เล่นได้ดีเลยทีเดียว เช่น เรอัล โซเซียดัด ที่ดึง ดาบิด ซิลบา อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติสเปนยุครุ่งเรือง หรือ เรอัล เบติส ที่คว้าตัว นาบิล เฟคีร์ ดาวยิงฝรั่งเศสชุดแชมป์โลก 2018 เป็นต้น

ทีมที่จะคว้าแชมป์ลาลีกาในยุคปัจจุบันนี้ ไม่ได้เจอกับงานง่ายเหมือนในอดีตอีกต่อไป ต้องทำงานหนักมากขึ้นในแต่ละนัด แอต.มาดริด ทีมแชมป์เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ทำได้เพียง 86 แต้ม มากกว่ารองแชมป์แค่ 2 แต้มเท่านั้น

แชมป์ลีก 3 ซีซั่นหลังสุด ต่างทำได้ไม่ถึง 90 คะแนนทั้งหมด ส่วนซีซั่นนี้ มีการคาดหมายกันว่าทีมที่จะคว้าแชมป์ ต้องทำแต้มให้ได้อย่างน้อย 83 คะแนน ซึ่งไม่แน่ว่า อาจจะเกิดเหตุการณ์น่าตื่นเต้นเหมือนเช่นซีซั่นที่แล้วก็เป็นได้

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ