งานวิจัยล่าสุดที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Social Psychological and Personality Science เผยให้เห็นว่า คนที่อาศัยอยู่ในสังคมที่มีปัญหาการคอร์รัปชันสูง มีแนวโน้มที่จะเชื่อในทฤษฎีสมคบคิดมากขึ้น ไม่ว่าจะมีแนวคิดทางการเมืองแบบใด โดยงานวิจัยก่อนหน้านี้พบว่าฝ่ายขวามีแนวโน้มที่จะเชื่อในทฤษฎีสมคบคิดมากกว่าฝ่ายซ้าย แต่ผลการศึกษานี้กลับแสดงให้เห็นว่าหากปัญหาการคอร์รัปชันแพร่หลายในสังคมนั้นๆ ช่องว่างของการเชื่อทฤษฎีสมคบคิดระหว่างฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาก็มีแนวโน้มลดลง

สังคมที่มีคอร์รัปชันสูงมักถูกมองว่าเต็มไปด้วยความลับ การใช้อำนาจโดยมิชอบ และผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งส่งผลให้ประชาชนไม่เชื่อมั่นในรัฐบาลและสถาบันต่างๆ เมื่อผู้คนรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเต็มไปด้วยความไม่โปร่งใส พวกเขาจึงมักจะหันไปหาทฤษฎีสมคบคิดเพื่อหาคำอธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม 

การศึกษานี้ใช้ข้อมูลจากประชากรกว่า 20,000 คน ใน 23 ประเทศ และพบว่าเมื่อมีการคอร์รัปชันสูงขึ้น ระดับความเชื่อในทฤษฎีสมคบคิดก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยไม่มีความแตกต่างระหว่างฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ซึ่งหมายความว่าคอร์รัปชันสามารถลดอิทธิพลของอุดมการณ์ทางการเมืองต่อความเชื่อในทฤษฎีสมคบคิดลงได้ ทั้งนี้ นักวิจัยให้เหตุผลว่าการที่คนเห็นข่าวการทุจริตอยู่บ่อยครั้ง อาจทำให้พวกเขารู้สึกว่ายังมีเรื่องที่ซ่อนเร้นอยู่มากกว่าที่เปิดเผยต่อสาธารณะ การที่รัฐบาลหรือองค์กรขนาดใหญ่เคยถูกจับได้ว่ากระทำผิดจริง ยิ่งทำให้ประชาชนสงสัยว่าอาจมีเครือข่ายลับหรือแผนการซ่อนอยู่เบื้องหลัง

นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบอีกว่าเมื่อสถาบันหลักของประเทศมีประวัติเรื่องความไม่โปร่งใส ผู้คนก็จะไม่เชื่อในคำชี้แจงของรัฐบาลหรือสื่อกระแสหลัก และจะมองหาคำอธิบายทางเลือก ทำให้ทฤษฎีสมคบคิดกลายเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้พวกเขาทำความเข้าใจโลกที่ดูไม่น่าไว้วางใจ 

การเพิ่มขึ้นของความเชื่อในทฤษฎีสมคบคิดสามารถส่งผลกระทบต่อสังคมได้ในหลายแง่มุม เช่น การปฏิเสธวิทยาศาสตร์ ความลังเลในการรับวัคซีน หรือความไม่เชื่อมั่นต่อกระบวนการเลือกตั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่สงบทางการเมืองและการแบ่งขั้วของสังคม ดังนั้น หากต้องการลดความเชื่อในทฤษฎีสมคบคิด รัฐบาลและองค์กรต่างๆ ควรให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน สร้างความโปร่งใส และเสริมสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อสถาบันหลักของประเทศ มากกว่าที่จะเน้นเพียงการแก้ไขปัญหาข่าวปลอมและข้อมูลผิดพลาด