กลับมาพบกับรีวิว Gadget จากทีม Sanook Hitech กันอีกครั้ง ก่อนที่คุณจะพบกับรีวิวของ ROG Ally วันนี้มีอีก 1 ตัวที่เปิดตัวก่อนหน้านี้และเข้าถึงได้ง่ายกว่า สำหรับคอคนเล่นเกมมือถือ ที่รอคอยสุดยอดมือถือเล่นเกมอย่าง ROG Phone 7 วันนี้เราได้มาแล้วกับรุ่นเริ่มต้นตัวนี้ มาดูกันว่ามันแตกต่างกันแค่ไหน รับชมได้เลย
รายละเอียดสเปกของ ROG Phone 7
- ขนาด : 173 x 77 x 10.3 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก: 239 กรัม
- หน้าจอ : 6.78 นิ้ว แบบ AMOLED พร้อมกับ Refresh Rate สูงสุด 165Hz สามารถปรับได้ทั้ง 60 / 120 / 144 และ 165 Hz ความสว่าง 1,200 nits ใช่กระจก Gorilla Glass Victus
- ความละเอียดหน้าจอ 2448 x 1080 พิกเซล
- ชิปเซ็ต / กราฟิกการ์ด : Qualcomm Snapdragon 8 Gen 2 / Adreno 740
- มาตรฐานกันน้ำ : IP54
- RAM 16GB
- ความจำในตัว : 512GB
- ความจำภายนอก : ไม่รองรับ
- การเชื่อมต่อไร้สาย : 5G, Wi-Fi 7 (802.11 be), Bluetooth 5.3, GPS, A-GPS
- กล้องหน้า : 32 ล้านพิกเซลจาก Sony IMX663, วิดีโอ 1080p 30 FPS
- กล้องหลังมีทั้งหมด 3 ตัวประกอบด้วย
- กล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล จาก Sony IMX766 พร้อมกับ มุมกว้าง 84.6 องศา
- กล้องมุมกว้างความละเอียด 13 ล้านพิกเซล 120 องศา
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
- รองรับการถ่ายวิดีโอ 8K, 4K 60 FPS, 1080p 120FPS
- ไฟหลังเครื่อง : ไฟด้านหลังในแบบ Illuminated RGB
- ไมโครโฟน : 3 จุดรอบตัวเครื่อง
- ลำโพง คู่ด้านบนและล่างมีขนาด 12 x 16 มิลลิเมตร (เพิ่มกำลัง Sub-Woofer ผ่าน AeroActive 7)
- ช่องเสียบ : หูฟัง 3.5 มม. USB-C (มี 2 จุดคือกลางเครื่องและด้านล่างมุมซ้าย)
- แบตเตอรี่ : 6000 mAh
- ระบบชาร์จไฟ : USB-C ระบบ Hyper Charging กำลังสูงสุด 65W และเป็นแบบ PD
- สีสัน : Phantom Black, Storm White
แกะกล่อง ROG Phone 7
- ตัวเครื่อง ROG Phone 7
- คู่มือ / เคสตัวเครื่อง / เข็มจิ้มถาดใส่ซิม
- สาย USB-C To USB-C
- ปลั๊กสำหรับชาร์จไฟ กำลัง 65W Hyper Charging
สำหรับพัดลม AeroActive 7 นั้นจะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานติดกับ ROG Phone 7 Ultimate เท่านั้นแต่จะมีจำหน่ายแยกหรือไม่ต้องรอดูกันต่อไป แต่ถ้าใครมี AeroActive 6 ใช้แทนได้เลยแค่จะไม่มี Sub-Woofer เท่านั้น
รูปลักษณ์หน้าตาของ ROG Phone 7
เริ่มต้นกับหน้าตาของ ROG Phone 7 นั้นอยากจะใช้คำว่า “เหล่าเก่า” เพราะหน้าจอยังคงได้ขนาด 6.78 นิ้ว ถือว่าใหญ่กำลังดีมาพร้อมกับการแสดงผลเป็นแบบ AMOLED Display กับการออกแบบจองมีการเว้นส่วนและล่างชัดเจนเพื่อวางลำโพงคู่ที่ด้านหน้า และหน้าจอมีความละเอียด FHD+ และความสว่างสูงสุด 1,200 nits
ส่วนบนของเครื่องจะได้กล้องความละเอียด 32 ล้านพิกเซล รองรับการถ่ายวิดีโอ Full HD และยังมีลำโพงตัวที่ 2 ที่มีขนาด 12×16 มิลลิเมตร นอกจากไว้สนทนาได้แล้วเวลาเล่นเพลงหรือเปิดเกมเสียงก็จะดัง คมชัดอีกด้วย
ส่วนล่างมีที่อยู่ของลำโพงขนาด 12 x 16 มิลลิเมตร เช่นเดียวกัน พร้อมกับปุ่มกดที่สามารถเปลี่ยนได้ทั้งรูปแบบของการปัด และการกดแบบปกติ
รอบตัวเครื่องทำจากอลูมิเนียมสวยงามและเป็นสีดำ ส่วนสีขาวรอบตัวเครื่องจะเป็นสีขาว ฝังซ้ายมีช่องเสียบ USB-C ไว้สำหรับเสียบอุปกรณ์พัดลม AeroActive Cooler ทั้งรุ่น 6 และ 7 นอกจากนี้สังเกตดีๆ ว่ามีขั้วสำหรับเสียบ พัดลมเพื่อเพิ่มกำลังขับอย่าง Sub-Woofer พร้อมกับด้านล่างเป็นช่องใส่ซิมการ์ดคู่แบบ Nano SIM และตัวปลดซิมออก ไม่ลึกแล้วนะครับ
ฝั่งขวามือจะมีปุ่ม Air Trigger ไว้สำหรับเล่นเกม และปรับคำสั่งได้มากถึง 10 อย่างด้วยกัน พร้อมกับปุ่มเพิ่มลดระดับเสียงและปุ่ม Power
ส่วนบนมีไมโครโฟนเท่านั้น
ส่วนล่างมีช่องเสียบหูฟัง และ USB-C สำหรับชาร์จไฟ และมีไมโครโฟนในตัว
พลิกด้านหลังจะมาพร้อมกับ โลโก้ ROG และมี Dot Matrix พร้อมกับเส้นที่สามารถเปลี่ยนสีไฟได้ด้วย และมีการแบ่งด้านหลังจะเป็นอลูมิเนียม และ แบบใสๆ และยังมีลวดลายเหมือนกับโชว์ความเป็น Mainboard สามารถเปลี่ยนสีได้จัดเต็ม
ความต่างระหว่าง ROG Phone 7 และ ROG Phone 7 Ultimate
และหลายคนจะสงสัยนอกจากของแถมที่อยู่ในกล่องเรื่องของความแตกต่างของความต่างระหว่าง ROG Phone 7 และ ROG Phone 7 Ultimate จะมีทั้งหมด 2 เรื่องได้แก่
- หน้าจอ ROG Vision ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก จะมีเฉพาะในรุ่น Ultimate ส่วนรุ่นธรรมดาได้ไฟขนาดใหญ่มาแทนแถมเล่น Effect สวยมาก
- ช่องระบายอากาศ AeroActive Portal จะไม่มีในรุ่น ROG Phone 7
น้ำหนัก และ การจับถือ
ถึงแม้ว่าเครื่องคล้ายกับรุ่นเดิม แต่ว่าด้านหลังมีการเปลี่ยนแปลงด้านหลังที่เยอะมากพอสมควร ทำให้โดดเด่นมากอยู่ เพียงแต่ว่าสิ่งที่ตั้งข้อสังเกตคือ ผิวเรียบอาจจะทำให้เกิดรอยขนแมวได้ง่าย น้ำหนักไม่ได้เยอะ แต่การจับถือลื่นไปหน่อย แนะนำให้ใส่เคสจะดีกว่าครับ
นอกจากนี้ยังเป็น ROG Phone รุ่นแรกที่ออกแบบให้กันน้ำและกันฝุ่นมาตรฐาน IP54 อีกด้วย
การแสดงผลหน้าจอ / ระบบเสียง
การแสดงผลหน้าจอของ ROG Phone 7 จะเน้นเรื่องความไวมากกว่าความละเอียดเพราะหน้าจอ 6.78 นิ้วแต่ยังได้ความละเอียด Full HD+ พร้อม Refresh Rate 165 Hz แค่ค่าการสัมผัสสูงมากถึง 720 Hz เรียกว่าโดดเด่น นอกจากนี้สีสันมากถึง 1 พันล้านสี และยัง มีค่า DCI-P3 และยังรองรับ Dolby Vision เป็นน เรียกว่าครบสูตรเลยครับ
ประกอบกับลำโพงคู่ขนาดใหญ่ทำให้เสียงที่ออกมาครบทุกอารมณ์และยังรองรับ Dolby ATMOS และ DTS Sound System พร้อมกับ Hi-Res และ Dirac ด้วย นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มกำลังขับ Sub-Woofer
ประสิทธิภาพ / การเล่นเกม / การเชื่อมต่อ
คะแนน Geekbench 6 = 1,911 คะแนน (Single Core) | 5,577 คะแนน (Multi Core)
AnTuTu = 1,575,074 คะแนน
คะแนนประสิทธิภาพใช้คำว่าไม่ต้องพูดเยอะให้เจ็บคอเพราะมันตอบโจทย์การทำงานได้ดีมากจริง นอกจากความดีงามของ Snapdragon 8 Gen 2 แล้วเบื้องหลัง ROG มีการปรับระดับหลายๆ สิ่งภายใน จน ASUS ให้คำนิยามว่า GameCool 7 ประกอบด้วย
- ออกแบบ ระบบระบายความร้อน (Vapor Chamber) แบบใหม่ที่เพิ่มประสิทธิภาพการกระจายความร้อนได้ดีขึ้นถึง 168%
- เพิ่มการทำงานของ AeroActive Cooler 7 นอกจากระบายความร้อนดีแล้วยังสามารถเพิ่มกำลังเสียงขับเป็น Sub-Woofer ได้ด้วย
- ตัวขุมพลังเองหากมีการเสียบปลั๊กใช้งานจะมีการปิดแกนที่ใช้พลังงานน้อยเพื่อขับประสิทธิภาพออกมาให้สูงขึ้นได้ด้วย
- เฉพาะรุ่น Ultimate จะติดตั้ง AeroActive Portal ทำให้สามารถระบายอากาศได้เร็วและยังรองรับกับ AeroActive Cooler 6 ของเดิมได้
ฟีเจอร์การเล่นเกมก็มีผลต่อประสิทธิภาพ รุ่นนี้มีให้เลือกผ่านทาง Armoury Crate สามารถปรับประสิทธิภาพอย่าง X-Mode / X-Mode+ ที่นอกจากบูสต์พลังแบบแรงเหมือนสายน้ำที่ตกอย่างรวดเร็วแล้ว ยังสามารถเร่งกับเกมในโหมด Gaming Mode, Hardcore Mode ที่ทำให้ดึงศักยภาพของเกมเข้ามาได้แบบเต็มที่ ส่วนคนทั่วไปก็จะมี Dynamic, Ultra Durable และ Advance ในหัวข้อสุดท้ายคือุสามารถปรับค่าได้เองทั้งหมด
ทำให้ส่วนของการควบคุมการเล่นเกมหรือ Game Genie ที่สามารถแสดงผลในระหว่างเล่นเกม โดยการปัดมุมซ้าย หรือขวา ในด้านความสามารถปรับและควบคุมได้แบบครบเครื่องมากเช่น
- การล็อคความสว่างหน้าจอ
- การแสดงผลความร้อนและการทำงาน CPU
- การปรับฟีเจอร์ทั้ง Crosshair ศูนย์เล็งที่ปรับได้หลากหลายแบบสีสัน
- ฟีเจอร์ตั้งค่าการกดทั้ง Ultrasonic Button, Motion Sensor เพิ่มเข้ามาคือ Touch Sensor หรือ การสัมผัสด้านหลัง และ ปุ่มกดที่พัดลม หรือ Cooler Button เช่นเดียวกัน
- การบันทึกหน้าจอ, ปิดการแจ้งเตือน บล็อกการโทร เป็นต้น
ยังไม่หมดครับเพราะการเชื่อมต่อของ ROG Phone 7 นอกจากบอกพิกัด GPS ได้ดีมากแล้วยังรองรับ 5G แบบ Dual Standby, Bluetooth 5.3 รองรับ Hi-Res Wireless Audio และ ใหม่ล่าสุด Wi-Fi 7 ตัวแรกของโลกทำให้การเชื่อมต่อความเร็วอินเทอร์เน็ตทำได้ดีมาก เพราะการเล่นเกม นอกจากมือถือดีเน็ตต้องแรง เรียกว่าจัดเต็ม
ระบบปฏิบัติการ / ฟีเจอร์ภายใน / ระบบความปลอดภัย
ด้านระบบปฏิบัติการของ ROG Phone 7 (รวมถึง ROG Phone 7 Ultimate) มาพร้อมกับ Android 13 และมีการครอบด้วย ROG UI ที่มีความเรียบง่าย มีฟีเจอร์แบ่งหน้าจอทั้งกรอบ Popup, แบ่งเป็น 2 หน้าจอหรือ Multi Window ก็ทำได้ และยังสามารถปรับแต่งได้ทั้ง ROG UI และแบบ Pure Android ก็ทำได้
นอกจากฟีเจอร์ของการเล่นเกมไปแล้วก็ยังมีฟีเจอร์ทั่วไปได้แก่ เครื่องคิดเลข, เครื่องอัดเสียง, สมุดจด, เข็มทิศ และสามารถอัดหน้าจอได้
Armoury Crate
ยังคงใช้รูปแบบเดียวกับ ROG Phone 6 เดิมและยังเป็น ตัวปรับประสิทธิภาพเกม หรือ ตัวเลือกออฟชั่นแต่ละเกมที่ทำให้การเล่นเกมของคุณสนุกมากขึ้น โดยสามารถเปิดฟีเจอร์ได้ดังนี้
- ค่าความไวของการทัชสกรีน
- ปรับประสิทธิภาพของเครื่องที่ได้เล่าไปตั้งแต่ช่วงประสิทธิภาพ
- การกำหนดความลื่นไหลของการสไลด์
- ป้องกันการกดขอบเวลาที่เราเผลอไปกดด้านข้าง
- การปรับค่า Refresh Rate หรือการกระพริบของหน้าจอ และยังมีการตั้งค่าเกี่ยวกับ การควบคุมทั้ง ท่าทาง / Ultrasonic Button / ปุ่มด้านหลังเครื่อง / ปุ่มที่ Aero Active Cooler 6 โดยทำงานร่วมกับการตั้งค่าก่อนเล่นเกมผ่าน Armoury Crate และตั้งค่าระหว่างเล่นเกมผ่าน Game Genie มีตัวอย่างการตั้งค่าดังนี้
Motion Sensor
- การขยับเครื่อง ซ้ายขวา, เคลื่อนไปข้างหน้า (Move Left / Right / Forward)
- ขยับเครื่องลงไปทางซ้ายหรือขวา (Tilt Left / Tilt Right)
- เลี้ยวซ้ายหรือขวา (Turn Left / Turn Right)
- ขยับเครื่องหรือลง (Tilt Forward / Tilt Backward)
- เขย่าเครื่องเล็กน้อย ไปทางขึ้นลง (Shake Vertically)
Ultra Sonic Button (Air Trigger)
- สามารถเลือกว่าเราต้องการใช้กับ Option อะไรในเกม โดยสามารถสั่งงานได้ 6 ท่าทางทั้ง กดไปเฉยๆ, แตะเบาๆ, สไลด์, การกดลงไปคู่พร้อมกัน
นอกจากนี้ยังสามารถปรับตั้งค่าปุ่มของพัดลม AeroActive Cooler 6 และ 7 สำหรับรุ่นใหม่จะเพิ่มการตั้งค่า Sub-Woofer ในตัวได้ด้วยช่วยให้เสียงมีมิติขึ้นอีกนิด
และปรับตั้งค่าไฟด้านหลังเครื่องรวมถึงหน้าจอ ROG Vision ในตัว ROG Phone 7 Ultimate
ส่วนระบบความปลอดภัยมีทั้งระบบสแกนลายนิ้วมือในหน้าจอ และ ระบบสแกนใบหน้า
เปิดกล้องลองถ่ายภาพ
- กล้องหน้า : 32 ล้านพิกเซล รองรับการถ่ายวิดีโอ 1080p 30 FPS
- กล้องหลังมีทั้งหมด 3 ตัวประกอบด้วย
- กล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล จาก Sony IMX766
- กล้องมุมกว้างความละเอียด 13 ล้านพิกเซล 120 องศา
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
- รองรับการถ่ายวิดีโอ 8K, 4K 60 FPS, 1080p 120FPS
ฟีเจอร์ภายในกล้อง
ลูกเล่นของกล้องไม่ได้เซนไพรส์ เพราะ ROG Phone 7 จะคล้ายกับ ROG Phone 6 Series ทั้งหมด แต่เล่าคร่าวๆ คือเมนูการถ่ายภาพและวิดีโอที่ชัดเจน การใช้งานซูมทำได้ง่าย เมนูกดง่ายเพราะมี icon ที่อธิบายครบจนเรียกได้ว่าเอาใจคนขอบถ่ายภาพระดับหนึ่ง แต่รอบนี้มีแบ่งเป็นโหมดอื่นๆ ก็จะมีการเพิ่ม Pro Video, Night Mode และกลางคืน สามารถซูมได้มากสุด 8X
สำหรับวิดีโอ ควบคุมกันสั่นไหวแบบ EIS ได้ 2 ระดับทั้งแบบมาตรฐานและ Hyper Smooth ทำให้ภาพที่ออกมาดูดี แต่ถ้าถ่ายวิดีโอ 4K 60 FPS และ 8K / 30 FPS เลยทีเดียว พร้อมกับลูกเล่นทั้ง Timelaps, Slo-mo ได้ช้าสุดที่ HD 480 FPS และ Motion Tracking จับการเคลื่อนไหววัตถุได้ และ Pro Video ที่ทำได้เหมือนมือถือราคาแพงในระดับเดียวกัน และยังมีฟีเจอร์ตัดเสียงลม, ฟีเจอร์เลือกใช้ไมโครโฟนฯ เป็นต้น และสามารถซูมได้มากที่สุดแค่ 4X เท่านั้น
กล้องหน้าของ ROG Phone 7 เพิ่มความละเอียดเป็น 32 ล้านพิกเซล แต่ว่าวิดีโอกลับทำได้ที่ 1080p 30 FPS น่าเสียดายที่ลดสเปกลงแต่ว่าสิ่งที่ดีคือ ความละเอียดทำได้ดีมากขึ้นกว่าเดิมนะ
ผลงานของกล้อง ROG Phone 7
(กล้องหลัง)
ภาพกลางวัน / การซูม
ภาพกลางคืน
โหมดอื่นๆ ที่ถ่ายมา
(กล้องหน้า)
แบตเตอรี่ / ระบบชาร์จไฟ
สำหรับแบตเตอรี่ของ ROG Phone 7 ทั้ง 2 รุ่น ยังคงได้ที่ 6000 mAh แต่จากการทดลองใช้งานถ้าอยู่ในลักษณะใช้งานทั่วไปอึดและอยู่ได้นานวันนึงพอดี แต่ถ้าเป็นการเล่นเกมแบบโหมดสุดๆ ทำได้อยู่ที่ 6 ชั่วโมงกว่าเรียกว่าเล่นจนปวดตาไปข้างเลย ส่วน PCMark ใน ROG Phone 7 ปกติทำได้ราวๆ เกือบ 20 ชั่วโมงครับ
ฃ
ส่วนระบบชาร์จไฟของ ROG Phone 7 ทั้ง 2 รุ่น เป็นแบบ USB-C เท่านั้นรองรับกำลังสูงสุด 65W ในแบบ Hyper Charge หรือจะใช้ที่ชาร์จกำลัง 65W ก็ได้
สรุปหลังลองใช้ ROG Phone 7 โดยทีม Sanook Hitech มาสักพักหนึ่ง
หลังจากที่ทดลอง “ROG Phone 7” ใหม่ล่าสุดนอกจากมีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นเดียวกันทั้ง Ultimate และรุ่น ปกติที่ทดลองใช้งาน พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงทั้งการออกแบบระบายอากาศใหม่ทำให้ขุมพลัง Snapdragon 8 Gen 2 แรงมากขึ้น ทำให้เครื่องไม่ได้ร้อนเกินไป แม้ว่าระหว่างการทดลองพบว่าความร้อนสูงเวลาเล่นเกมนานก็ตาม
แต่ภาพรวมไม่ได้แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้ก็ตาม สิ่งที่น่าลุ้นกว่าคือราคาของ ROG Phone 7 เพราะเปิดตัวทั้งหมด 2 รุ่นได้แก่
- ROG Phone 7 (Phantom Black, Storm White, 16/512GB) 34,990 บาท
- ROG Phone 7 Ultimate (Storm White, 16/512GB) 42,990 บาท
โดยโปรโมชั่นมีดังนี้
สำหรับช่องทางผู้ให้บริการจะจับมือกับทาง AIS เท่านั้น เมื่อซื้อแบบติดโปรฯ ROG Phone 7 ราคาเริ่มต้นที่ 29,490 บาท และ ROG Phone 7 Ultimate ราคาเริ่มต้นที่ 37,490 บาท
Early Bird Promotion พิเศษ! เมื่อซื้อ ROG Phone 7 รุ่นใดก็ได้ ระหว่างวันที่ 28 มิ.ย. – 18 ก.ค. 66 รับฟรีชุดหูฟังเกมมิ่งไร้สาย ROG Strix Go 2.4 มูลค่า 3,390 บาท โดยต้องกดยืนยันการซื้อผ่านช่องทางนี้
สุดท้ายนี่เป็นอีกมือถือที่แม้ว่าจะไม่ได้เปลี่ยนสเปกแต่ของเดิมดีอยู่แล้วแค่อัปเกรดบางเรื่องที่รุ่นเดิมอาจจะยังดีไม่พอ ให้ปรับจนเรียกว่า น่าสนใจมากขึ้น จนเรียกได้ว่า ROG Phone 7 ยังคงเป็นมือถือเพื่อคอเกมอย่างแท้จริงของปี 2023
จุดเด่น
- การออกแบบจับได้ถนัดมือ
- ปุ่มกดพร้อมใช้งานและวางตำแหน่งดี
- อุปกรณ์เสริมใช้กับของเดิมได้
- ความแรงหายห่วง
- รองรับ Wi-Fi7 ล้ำสุดในตอนนี้
- แบตเตอรี่ไม่ได้ใช้เล่นเกมอึดมาก
- ระบบชาร์จไฟเร็วและรับกับปลั๊ก PD ทั่วไปได้
ข้อสังเกต
- รุ่นเริ่มต้นไม่มีพัดลมระบายอากาศมาให้ในกล่อง ต้องเป็นรุ่น Ultimate เท่านั้นถึงจะได้
- ฝาหลังเสี่ยงเป็นรอยง่าย
- ช่องทางการซื้อจำกัด