ก่อนหน้านี้ Sanook Hitech ได้รีวิว iPad Air M2 ขนาดหน้าจอ 13 นิ้ว ไปก่อนหน้านี้แต่สำหรับ iPad ไม่ได้มีแค่รุ่นเดียว รอบนี้เรามาพบกับหน้าจอ iPad Pro M4 และรอบนี้ไม่ได้มาแค่รีวิวธรรมดาเพราะเราจะพาคุณไปพบกับโปรแกรม Pro Create วาดภาพชั้นยอด ตอบโจทย์ไหมเรามาดูกัน
สารบัญ รีวิว iPad Pro M4
1. สเปก iPad Pro M4
2. รูปลักษณ์ดีไซน์
3. การจับถือ / น้ำหนัก
4. ประสิทธิภาพของ iPad Pro M4 ใหม่
5. ฟีเจอร์ภายในของ iPad Pro M4
6. การทำงานของ Apps กับ iPad Air M2 และ iPad Pro
7. สรุปหลังทดลองใช้ iPad Pro M4
สเปก iPad Pro M4
สเปก |
iPad Pro M4 13 (2024) |
มิติตัวเครื่อง |
281.6 x 215.5 x 5.1 มิลลิเมตร |
น้ำหนัก |
579 กรัม (Wi-Fi) 582 กรัม (Cellular |
กระจก |
กระจกเงาแบบ Scratch-resistant glass, oleophobic coating และ Nano-texture display glass สำหรับรุ่น 1TB / 2 TB |
ขุมพลัง |
Apple M4 Octa Core |
กราฟิกการ์ด |
Apple GPU (10-core graphics) |
RAM |
RAM 8GB |
พื้นที่ความจำ |
256GB / 512GB / 1TB / 2 TB |
การเชื่อมต่อไร้สาย |
5G, Wi-Fi6e (802.11ax) (Dual band) + Bluetooth v5.3 |
พอร์ต |
USB-C Thunder Bolt 3 |
หน้าจอ |
Tendom OLED Ultra Retina Diplay ขนาด 13 นิ้ว, Refresh Rate 120Hz, ความละเอียด 2752x 2064 พิกเซล, oleophobic coating |
กล้อง |
ด้านหน้า 12 MP F/2.0 + Video 1080p 30/60 fps + EIS + HDMI ด้านหลัง 12 MP Dual Pixel F/1.8 + 3D ToF ที่มีชื่อว่า LiDar วิดีโอ 4K@24/25/30/60fps, 1080p@25/30/60/120/240fps LED Flash Quad LED |
ลำโพง |
ลำโพงแบบ Stereo 4 ตำแหน่ง |
ไมโครโฟน |
ทั้งหมด 2 จุด |
อุปกรณ์เสริม |
Smart Folio Keyboard Smart Cover Magic Keyboard (1st Generation) Apple Pencil USB-C Apple Pencil Pro |
ระบบปฎิบัติการ |
iPad OS 17 (อัปเกรดต่อได้) |
แบตเตอรี่ |
10290 mAh |
Adapter |
กำลังชาร์จไฟสูงสุด 20W |
สีสัน |
Silver, Space Black |
ของในกล่องประกอบด้วยสิ่งต่างๆ ดังนี้
รูปลักษณ์ดีไซน์
สำหรับ iPad Pro ขนาดหน้าจอ 13 นิ้ว มาพร้อมกับสเปกที่มาแบบที่โดดเด่นโดยหน้าจอรุ่นนี้จะได้ความละเอียดที่มากกว่า รุ่น Air ขนาด 13 นิ้วที่ได้รีวิวไปก่อนหน้านี้ แต่ว่ารุ่นใหม่อย่าง Pro 13 นิ้วจะมีกล้องหน้าวางในแนวนอนเหมือนกับ Air และมีระบบสแกนใบหน้าแบบ Face ID ซึ่งส่วนนี้จะทำให้เกิดการละลายหลังด้วยกัน
เพิ่มอีกนิดสำหรับหน้าจอของ iPad Pro รุ่นปี 2024 นี้เป็นหน้าจอแบบ Tendom OLED Display มีความเหนือชั้นกว่าหน้าจอแบบ OLED ตรงที่จะเป็นหน้าจอ 2 ชั้นให้ความสว่างสูงสุด และมีอายุการใช้งานที่ดีกว่า พร้อมกับการแสดงขอบเขตสีแบบ DCI-P3 ที่ตรง
นอกจากนี้ความละเอียดหน้าจอถูกยกเป็น Ultra Retina Display XDR ทำให้เก็บความละเอียดได้ดี และใช้พลังงานน้อยกว่าเดิม
และยิ่งประกอบกับหน้าจอรุ่นที่รีวิวให้คุณดูเป็นแบบ Nano Texture การทำพื้นผิวให้มีความด้าน ช่วยทำให้แสงตกระทบนั้นสวยแลัะยังไม่ลดความคมชัด แถมยังลดลายนิ้วมือเพื่อความลื่นไหลทำให้เป็นอีกหน้าจอที่มีความน่าสนใจ เพียงแต่ รุ่นที่จะมีออฟชั่นนี้ให้เลือกคือ ความจำ 1TB และ 2TB เท่านั้น และต้องใช้ผ้าเช็ดแบบพิเศษในการดูแลรักษาความสะอาด
ส่วนตัวเครื่องของ iPad Pro ทั้งรุ่น 11 นิ้วและ 13 นิ้วจะบางลงกว่าเดิม โดยรุ่น 13 นิ้วจะมีความบางเพียง 5.1 มิลลิเมตร เรียกว่าบางสุดใน Product ของ Apple ทั้งหมด โดยด้านบนจะมีช่องใส่ปากกา
ความแตกต่างของรุ่น Pro กับ Air นอกจากความบางแล้วยังได้ลำโพงทั้งหมด 4 ตัวและ USB-C เป็นแบบ Thunderbolt 3 ใหม่เช่นเดียวกัน
ด้านหลังจะมีตำแหน่งของกล้องด้วยกันกล้องหลังตัวเดียวพร้อมกับ LED Flash แบบ Qual LED สีดวง และนอกจากนี้ยังมาพร้อมกับ LiDAR ใหญ่ขึ้นจากเดิม
การจับถือ / น้ำหนัก
จุดเด่นของ iPad Pro M4 ขนาด 13 นิ้วจะมาพร้อมกับน้ำหนักที่เบากว่า โดยรุ่นที่ Sanook Hitech ใช้เป็น Wi-Fi จะมีน้ำหนักเบาเพียง 579 กรัมช่วยให้ถือและเขียนที่ทำได้ดีมากเลยครับ อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจจะกลัวว่าจะหัก อันนี้อาจจะต้องปรับการใช้งานสักหน่อยนะ
ประสิทธิภาพของ iPad Pro M4 ใหม่
จากที่เห็นพบว่าความเร็วของ iPad Pro M4 จะมาพร้อมกับความเร็วสูงสุดเมื่อเทียบกับ iPad ของรุ่นใหม่ล่าสุด ทั้งการประมวลผล 3D และ Benchmark ทั่วไปตามภาพที่เห็น พูดเลยว่าการ Render กราฟิก ขั้นสูงมันทำได้ดีเลยครับ
การเชื่อมต่อสำหรับุร่นนี้เป็นตัว Wi-Fi เท่านั้นถ้าใครเลือกรุ่น 5G ก็สามารถเลือกได้และจะไม่มีช่องใสซิมการ์ดเพราะเป็นแบบ eSIM นั่นเอง
สำหรับแบตเตอรี่ของ iPad Pro M4 จะมีขนาด 10290 mAh พบว่าการใช้งานทำให้สามารถใช้งานได้ยาวนาน แต่ถ้าใช้งานหนักๆ และมีการประมวลผลที่ใช้งาน Apps ที่มีประสิทธิภาพสูง ก็จะกินไฟพอสมควร ส่วนระบบชาร์จไฟของ iPad Pro จะรองรับกำลัง 20 – 27W เท่านั้น
ฟีเจอร์ภายในของ iPad Pro M4
iPad Pro M4 ยังได้ ฟีเจอร์ใหม่ๆ จาก iPadOS 17 และสามารถอัปเดตไปเรื่อยรวมถึง iPadOS 18 ในอนาคต นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับ ลูกเล่นต่างๆ ที่ทำให้สามารถใช้งานได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งเป็นลูกเล่นคล้ายกับ iPad Air M2 ขนาด 13 นิ้ว ที่ได้รีวิวไปก่อนหน้านี้ แต่ว่าเราได้ทดลองใช้งานกับโปรแกรม ProCreate ถือว่าเป็น เอกลักษณ์ของ iPad
ProCreate
อย่างที่ทราบกันดีว่า iPad รุ่นใหม่เปิดตัวมาสักพักหนึ่งแล้ว โดยจุดเด่นของ iPad Pro / iPad Air Gen 6 ที่ใช้ขุมพลัง Apple M2 ที่เราเคยได้รีวิวไปก่อนหน้านี้พบว่ารองรับ Apple Pencil Pro ที่มาพร้อมกับสเปกที่มาพร้อมกับความสามารถที่มากกว่าเดิมเช่นการบีบและรองรับแรงกดที่มากกว่าเดิม สามารถอ่านรีวิวได้ที่นี่
แต่สำหรับรอบนี้เรามาดูความสามารถอีกด้านของ ProCreate โปรแกรมวาดภาพที่มาพร้อมกับลูกเล่นที่มาแบบจัดหนักกันว่ามีอะไรที่น่าสนใจ
สำหรับ ProCreate เป็นโปรแกรมวาดภาพที่เปิดตัวมาตั้งแต่ iPad ตัวและรวมถึงเป็นโปรแกรมที่ได้รับการยอมรับจากทาง Apple ว่าสามารถวาดเขียนได้ดีและมีเครื่องมือให้เลือกใช้มากมาย ซึ่งโปรแกรมที่เราได้ทดลองนั้นคือ ProCreator 5 (จริงๆ ใครใช้อยู่สามารถใช้ต่อได้เลย) และมีราคาอยู่ที่ 499 บาท)
การทำงานของ Apps กับ iPad Air M2 และ iPad Pro
ในการทดลองครั้งนี้เราได้สัมผัสกับ iPad Air M2 และ iPad Pro M4 เครื่องที่ใช้งานอยู่โดยทำงานกับ Apple Pencil Pro โดยการวาดลูกเล่นของ แอปส์ ProCreate นั้นมีจุดเด่นคือสามารถตั้งค่าได้หลากหลายขนาดตามไซล์ของภาพ ในรอบนี้เราได้ทดลองขนาดหน้าจอเพื่อจะทำ Wallpaper สายมู
เครื่องมือที่ใช้ในปากกาให้เยอะมากเป็นหลายร้อยกว่าแบบ แต่สำหรับรอบนี้เราใช้ Calligraphy แล้วเลือก Monoline หากคุณใช้งาน Apple Pencil Pro แล้วเปิดให้ทำงานจะสามารถใชการบีบเพื่อให้สามารถทำให้เส้นเป็นรูปร่างได้ตามที่ต้องการ และการเทสีหากมีการแบ่ง layer ไว้แล้วแค่เลือกสีจากทางด้านนแล้วลากวางได้เลยครับ
แถมด้วยภาพตัวอย่างที่ให้รับชมเท่านี้ แต่อยากดูเพิ่มกดใน Gallery จากด้านล่างได้ครับ
กล้องหลัง
กล้องหน้า
สรุปหลังทดลองใช้ iPad Pro M4
มาถึงบนสรุปกับ iPad Pro M4 ต้องบอกว่านี่เป็น iPad ที่เหมาะกับมืออาชีพมากขึ้น เพราะสเปกของเครื่องเรียกว่าแรงจัดตอบโจทย์ทุกงาน แต่ด้วยราคาที่เรียกว่าเริ่มต้น 39,900 บาท ก็เป็นอีกข้อสงสัยว่าเราควรจะเล่นตัว Pro ไหม
ถ้าเป็นคนที่ใช้งานแบบมืออาชีพ ตัว Pro จำเป็นเพราะการได้ชิป M4 มันตอบสนองการทำงานได้รวดเร็ว แต่ว่าถ้าเป็นคนใช้งานทั่วไปแนะนำว่าจริงๆ ซื้อ iPad Air M2 หรือ iPad 10 ก็เพียงพอแล้วครับ ก็ขึ้นกับคุณเองว่าพอได้จับตัวจริงที่หน้าร้านแล้วชอบตับไหนมากกว่า
ราคา iPad Pro 2024 มี 2 ขนาด
- iPad Pro 11 นิ้ว
- 256GB Wi-Fi = 39,900 บาท
- 512GB Wi-Fi =47,900 บาท
- 1TB Wi-Fi กระจกธรรมดา = 63,900 บาท
- 2TB Wi-Fi กระจกธรรมดา = 79,900 บาท
- 1TB Wi-Fi กระจกผิวนาโน = 67,900 บาท
- 2TB Wi-Fi กระจกผิวนาโน = 83,900 บาท
- 256GB Wi-Fi Cellular = 47,900 บาท
- 512GB Wi-Fi Cellular = 55,900 บาท
- 1TB Wi-Fi Cellular กระจกธรรมดา = 71,900 บาท
- 2TB Wi-Fi Cellular กระจกธรรมดา = 87,900 บาท
- 1TB Wi-Fi Cellular กระจกผิวนาโน = 75,900 บาท
- 2TB Wi-Fi Cellular กระจกผิวนาโน = 91,900 บาท
- iPad Pro 13 นิ้ว
- 256GB Wi-Fi = 52,900 บาท
- 512GB Wi-Fi =60,900 บาท
- 1TB Wi-Fi กระจกธรรมดา = 76,900 บาท
- 2TB Wi-Fi กระจกธรรมดา = 92,900 บาท
- 1TB Wi-Fi กระจกผิวนาโน = 80,900 บาท
- 2TB Wi-Fi กระจกผิวนาโน = 96,900 บาท
- 256GB Wi-Fi Cellular = 60,900 บาท
- 512GB Wi-Fi Cellular = 68,900 บาท
- 1TB Wi-Fi Cellular กระจกธรรมดา = 84,900 บาท
- 2TB Wi-Fi Cellular กระจกธรรมดา = 100,900 บาท
- 1TB Wi-Fi Cellular กระจกผิวนาโน = 88,900 บาท
- 2TB Wi-Fi Cellular กระจกผิวนาโน = 104,900 บาท
ราคานี้ยังไม่รวมอุปกรณ์เสริมใดๆ ทั้งสิ้น และยังมีราคาอุปกรณ์เสริมและซอฟต์แวร์ได้แก่
- Apple Pencil (USB-C) สามารถใช้งานร่วมกับ iPad Pro ใหม่ และมีจำหน่ายในราคา 3,190 บาท และในราคาส่งเสริมการศึกษาที่ 2,790 บาท
- Magic Keyboard ใหม่สามารถใช้งานร่วมกับ iPad Pro ใหม่ และมีให้เลือกทั้งสีดำและสีขาว โดย Magic Keyboard รุ่น 11 นิ้ว ใหม่มีจำหน่ายในราคา 11,990 บาท ส่วน Magic Keyboard รุ่น 13 นิ้ว มีจำหน่ายในราคา 13,990 บาท และมีเลย์เอาท์ให้เลือกมากกว่า 30 ภาษา ราคาส่งเสริมการศึกษาสำหรับ Magic Keyboard รุ่น 11 นิ้ว อยู่ที่ 11,200 บาท และสำหรับ Magic Keyboard รุ่น 13 นิ้ว อยู่ที่ 13,200 บาท
- Smart Folio ใหม่มีจำหน่ายในราคา 3,390 บาท ในสีดำ สีขาว และสีฟ้าเดนิมสำหรับ iPad Pro รุ่น 11 นิ้วใหม่ และ 4,190 บาท สำหรับ iPad Pro รุ่น 13 นิ้วใหม่